วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

อัลมูริก

  ผมเอานิยายที่หมดลิขสิทธิ์(คือผู้เขียนตายไปเกินห้าสิบปี) เรื่อง Almuric แต่งโดย Robert E Howard มาแปล เห็นว่ามันอ่านง่ายๆและสนุกดี โรเบิร์ต  อี โฮเวอร์ตคนนี้ เป็นคนแต่งชุด โคแนน คนเถื่อน  เรื่องอัลมูริก นี่ก็ออกมาแนวๆเดียวกัน ผจญภัย อ่านสนุกๆ


                                      อัลมูริก โดย โรเบริต์ อี โฮเวอร์ด 

       

           แปลโดย อภิชาต รอดวัฒนกุล

 

 ข้อเขียนต่อไปนี้มิได้เป็นไปตามความตั้งใจเดิม-คือจะไม่ยอมเปิดเผยที่ซ่อนตัวของ เอสู เคอร์นหรือคดีที่ยังปิดไม่ลงของเขา.ผมเปลี่ยนใจก็เพราะตัว เอสู เคอร์นเอง,ผู้ซึ่งคงจะอยากเล่าเรื่องแปลกประหลาดของตัวเอง ให้โลกซึ่งไม่ยอมรับเขาและเพื่อนมนุษย์ซึ่งบัดนี้ ไม่อาจอาศัยอำนาจตามความในมาตราใดๆไปถึงตัวเขาได้ฟัง ตามนิสัยธรรมดาของมนุษย์,สิ่งที่เขาให้ผมเปิดเผย ผมก็เล่าไปตามใจเขา..เรื่องเกี่ยวข้องส่วนตัวเรื่องหนึ่งผมไม่ยอมบอก ;คือวิธีการเทคโนโลยีที่ผมส่งเอสู เคอร์น จากดาวบ้านเกิด ไปยังดาวเคราะห์อีกดวง ในระบบสุริยะที่ห่างใกลเกินความคาดฝันของนักดาราศาสตร์ทั้งปวง. หรือวิธีที่ผมติตต่อสื่อสารกับเขาในภายหลัง.และได้ฟังเรื่องราวของเขาจากปากตัวเอง..กระซิบข้ามจักรวาลไพศาลมาเหมือนเสียงภูติพราย.
    ผมขอบอกไว้แต่แรกว่า ผมไปพบทฤษฏีสำคัญนี้โดยบังเอิญ ขณะที่ทำการทดลองค้นคว้าทั่วๆไป..และตั้งใจจะเก็บทฤษฏีและอุปกรณ์ทดลองสนับสนุนฯนี้ไว้กับตัวหรือแยกชิ้นออก เมื่อสรุปผลได้แน่ชัด. ไม่ยอมเผยแพร่ให้ใครอื่นไปใช้ไปทำการใดๆอันจะนำอำนาจหรือทรัพย์สินมาให้..ไม่เคยคิด...
    จนกระทั้งคืนนั้น คืนที่ เอสู เคอร์นคลำทางมาถึง อาคารโรงงานทดลองสร้างเครื่องมือฯต้นแบบและสังเกตการณ์ดาราศาสตร์อันมืดมิดของผม .มาอย่างผู้ถูกไล่ล่า.มือเปื้อนเลือดคน.พรหมลิขิตชักนำเขาไปที่นั่น.คงด้วยสัญชาติญาณมืดบอดของสัตว์ที่ถูกล่า.จะหามุมตรอกตันสักแห่งเพื่อหันมาสู้.
    ผมต้องรับรองไว้แต่แรก.รับรองด้วยเกียรติและวุฒิบัตรศาสตราจารย์์ของผม .ผมรู้จัก เอสู ดี แม้รูปกายลักษณะของเขาดูใหญ่โตน่าเกรงขาม เอสู เคอร์น ไม่เป็นและไม่มีวันเป็น อาชญากร..เหตุที่เขาก่อขึ้นครั้งนี้ เป็นเพราะผู้มีอำนาจ(ทางการเมือง)ใช้อำนาจนั้นไม่ถูกทำนองครองธรรม เลือกเขาเป็นเครื่องมือ เป็นตัวเบี้ยตัวเล็กๆ เมื่อเขาขัดขืน,เรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นอาจจะบ่งไปว่า เขาเป็นคนรุนแรงโมโหร้าย ผิด.!มันเกิดจากลักษณะนิสัยประการหนึ่งของเขาเท่านั้น.
    วิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มจะยอมรับว่า ประโยคหนึ่งที่มีมานาน "คนบางคน เกิดผิดเวลา" พอจะมีเค้าความจริง.นิสัยบางสิ่งของมนุษย์ เหมือนจะเหมาะกับยุคสมัยหนึ่งๆ.คนที่เกิดมาผิดเวลายากนักที่จะปรับเข้ากับสังคมแวดล้อมได้.อย่างกับว่า มันเป็นตัวอย่างอีกชิ้นของปรากฏการณ์อันแปลไม่ออกของธรรมชาติ ที่จะผลักบางคนลงไปตามรอยแยกของสกลกาล.จากเวลาที่เหมาะกับเขา แล้วก็ฉุดขึ้นปล่อยไว้ในที่อีกแห่ง ที่ๆคนพวกนี้วันหนึ่งจะต้องก่อเหตุร้ายแรงจนได้..
    หลายคนมาผิดเวลาสักร้อยปี;เอสู เคอร์นมาผิดเวลาไปเป็นหมื่นปี...เอสูไม่ใช่ทั้งคนปัญญาอ่อนแต่ร่างกายใหญ่โตทรงพลัง.หรือคนเถื่อนมีกำลังเหมือนวัวควายแต่โง่เขลา.เชาว์ปัญญาของเขาเหนือระดับสามัญด้วยซ้ำ .แต่เมื่อเกิดมายุคปัจจุบัน เขาเกิดผิด..ผมไม่เคยเห็นผู้ล่วงลับไปคนอื่นใดมาก่อนเลย ที่ฉลาดระดับนี้ แต่ไม่อาจปรับตัวเข้ากับอารยธรรมที่สร้างด้วยเครื่องจักร เหมือนเอสู..(ผมใช้คำว่า "ผู้ล่วงลับไป" ไม่ได้หมายความว่า เอสู ตายไปแล้ว เพียงแต่ว่า .โลกหมดห่วงเถิด เอสู เคอร์นจะไม่มีวันได้กลับมาเหยียบแผ่นดินนี้อีก)
    เบ้าหลอมที่หลอมเขามา เป็นเบ้าของสัตว์ที่ไม่ยอมเชื่อง, เกลียดการถูกจำกัด.ชังการถูกปกครอง.ทว่าเขาไม่ใช่คนเกเร.เพียงเมื่อเห็นว่าถูกละเมิดสิทธิ์แม้เล็กน้อยก็ไม่ยอมหงอนิ่งเฉย..อารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ของคนเถื่อน.รุนแรงเป็นพายุ แต่ความกล้าไม่เป็นรองใครในดาวนี้..ตลอดชีวิตที่ผ่านมามีแต่ ความยับยั้งชั่งใจ.ระงับอารมณ์ และสกดกำลัง  ครั้งแล้วครั้งเล่า.แม้แต่ในสนามกีฬา, เขาต้องบังคับตัวให้ยั้งมือเพลาแรง ก่อนที่จะไปทำร้ายคู่แข่ง. เอสู เคอร์น เป็น..,กล่าวง่ายๆ..เป็นตัวประหลาด.คนประหลาดซึ่ง จิตใจและพลัง โน้มเอียงไปทางชีวิตของสมัยยุคกาลก่อน.ยุคเมื่อสัตว์มหึมาและคนใหญ่ราวยักษ์ ท่องแผ่นดิน....
    เอสู เกิดที่ ภาคตะวันตกเฉียงใต้..จากบรรพบุรุษพวกบุกเบิก,มาจากพวกซึ่งบุคคลิกรุนแรง,การต่อสู้ระหว่างกลุ่ม.การฟาดฟันกับมนุษย์และธรรมชาติเป็นสิ่งปรกติเคยชิน,ดินแดนภูเขาที่ เขาใช้ชีวิตตอนเด็ก ก็ข่วยสืบต่อ
บุคคลิกนี้. การแข่งขัน.ด้วยกำลังกาย.เป็นลมหายใจ..ไม่มีพวกนี้เขาก็หมดคุณค่าใดๆ.แต่รูปกายและพละกำลัง,ทำให้เขาไม่อาจยึดแม้แต่สิ่งเหล่านี้เป็นอาชีพ,บนเวทีมวย,ในสนามฟุตบอลล์,ไม่มีที่ใหนยอมให้เขาเข้าแข่ง.เพราะเข้าไปครั้งใด คู่ต่อสู้ก็เจ็บสาหัส.จนถูกตราหน้าว่าเป็นคนใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น.ขึ้นเวทีหรือเข้าสนาม เพราะต้องการไปทำร้ายคู่แข่ง ไม่ได้ต้องการชัยชนะ....การตราหน้านี้ไม่ยุติธรรมเลย..การบาดเจ็บเกิดจากกำลังมหาศาลของเอสู.ที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้มากเท่านั้น,เคอร์น ไม่ใช่คนมีกำลังหลายๆคน ที่แรงมาก แต่เซื่องซึม, เคอร์นระอุไปด้วยความปราดเปรียว.ลุกโชนด้วยกำลังที่พร้อมจะแสดงออก.. หากปล่อยใจไปตามกระแสการต่อสู้เพียงขั่วขณะ .ลืมบังคับกำลังตนเอง,แวบเดียว.ผลก็คืือ คู่ต่อสู้แขนขาหัก กระโหลกร้าว..
    นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องออกจากมหาวิทยาลัยที่สอบเข้าได้.เรียนไม่สำเร็จ.ผิดหวัง,ฝันสลาย. หันไปเป็นนักมวยอาชีพ .ชะตาร้ายก็ตามไปติดๆ.ในห้องฝึกซ้อม.ก่อนที่จะได้ขึ้นชกยกแรกในชีวิต.กำปั้นเขาเกือบฆ่าคู่ซ้อม. สื่อมวลชน ยกเรื่องนี้ขึ้นมาทันที.ขยายความออกไปเลวร้ายใหญ่โต.เคอร์นถูกห้ามขึ้นชกตลอดชีวิต
    เอสู เคอร์น เสียขวัญ ออกกระเจิดกระเจิงท่องโลก.มนุษย์จอมพลัง.ตามหาทางออก หาที่สักแห่งงานสักอย่าง.ที่ยอมรับคนพลังเต็มเปี่ยมแบบเขา.ที่ๆป่าเถื่อน.งานซึ่งหนักหนาสาหัสพอที่ดับความกระหายใช้กำลังของเขาได้..ไม่มีหาเจอ ..
    เรื่องเกี่ยวกับ ความรุนแรงครั้งท้ายสุดของ เอสู เคอร์น เรื่องที่หนังสือพิมพ์เอาไปประโคมขายดิบขายดี ผมจะขอเล่าเพียงผ่านๆ..มันก็แค่หัวข่าวตื่นเต้น วันนี้ขายดีคนตามควักกระเป๋่าซื้ออ่าน อีกเก้าวันคนลืม..มีอยู่ประจำ..เรื่องเดิมๆ ฝ่ายปกครองเน่าๆของเมืองๆหนึ่ง.นักการเมืองจอมโกงอีกคน. และคนบริสุทธิ์อีกคนที่ถูกเลือกเป็นเครื่องมือ.ตนเองไม่เต็มใจจะเป็นด้วย.เครื่องมือไปทำงานอย่างหนึ่ง เป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง.
    เคอร์น เพราะนิสัยกระวนกระวาย ไม่พอใจในชีวิตที่ไม่เหมาะกับตัว บวกพละกำลัง ..เป็นตัวเลือกดีที่สุดสมควรเลือกใช้...และใช้ทำงานได้ชั่วขณะ..ทว่า เคอร์นไม่ใช่คนโง่และไม่ยินยอมจะทำงานร้าย..อ่านเกมออก เร็วกว่าที่พวกเขาคาด.ยืนยันถอนตัวจากงาน เด็ดขาดเข้มแข็ง พวกนั้นยังมองความเป็นคนจริงของเขาไม่ออก.
    ใช่..แม้ถึงตอนนั้น.ผลร้ายมหันต์ก็ไม่ควรจะเกิด.หากบุคคลที่บงการและ นำความหายนะมาให้ เอสู เคอร์นในที่สุด.จะมีสมองสักนิด..คุ้นชินกับการใช้เท้าเหยียบขยี้คนที่ล้มลง..รอฟังคำอ้อนวอน ขอความเมตตา จากปากผู้ที่อยู่ใต้ซ่นเท้า..บอสส์ ไบลน์มองไม่ออกว่า กำลังเผชิญหน้ากับคนหนึ่งที่ อำนาจและเงินของเขาใช้ไม่ได้..ทว่า พลังการหักห้ามบังคับใจของเอสู เคอร์น ก็แข็งปานเหล็กเช่นกล้ามเนื้อของเขา.. ต้องใช้คำด่าทอรุนแรง.และตบหน้าสุดแรงฉาดหนึ่งจากฝ่าย บอสส์ ไบล์น นั่นแหละ โซ่เหล็กที่ตรึงความยับยั้งใจไว้ได้แน่นถึงขาดสะบั้นลง...สิ่งที่เกิดต่อมา คือสัญชาติญาณป่าของเคอร์น ระเบิดออกมาครั้งแรกในชีวิต..กำปั้นเดียว ที่ลั่นออกไป.จากความอดกลั้นกดดันทั้งปวงที่เคยถูกสกดไว้ด้วยจิตเหล็กทุบกระโหลกไบล์น แตกออกเหมือนเปลือกไข่ ส่งร่างไร้วิญญาณของไบลน์ลงไปนอนที่พื้น.หลังโต๊ะทำงานซึ่งเขาใช้ครอบครองเมืองนั้นมาช้านาน..
    เคอร์นไม่ใช่คนโง่ รู้ทันทีหลังจากคุมสติได้ว่าเขาไม่อาจรอดพ้นไปจาก ระบบกลไกที่ควบคุมเมืองไว้.ไม่ใช่เพราะความกลัว ที่เขาหนีหลังจากออกจากบ้านบอสส์ ไบล์น.มันเป็นแค่สัญชาติญาณสัตว์ป่าของเขา ที่จะไปหาที่มั่นสักแห่งเพื่อหันกลับมาสู้ตาย.
    ชะตาลิขิตให้คืนนั้นเขาหนีไปที่โรงงานสร้างเครื่องกลต้นแบบ.ห้องทดลองและหอดูดาวของผม...ตัวเขาจะผ่านไปทางอื่นในทันที เพราะไม่ต้องการให้ผมมาร่วมมีผิดด้วย.แต่ผมรั้งเขาไว้.ให้เล่าเรื่องที่เกิด.ผมน่ะคิดมานานแล้ว ว่าสักวันเรื่องรุนแรงแบบนี้ต้องเกิดขึ้น.การที่มันเพิ่งจะมาเกิด.การที่เขาระงับอารมณ์มาได้นานเพียงนี้.แสดงชัดถึงบุคคลิกที่แข็งเหมือนเหล็กของเขา..ธรรมขาติของเขาผมรู้ดี มันป่าเถื่อนและไม่ยอมเชื่องเหมือนสิงโตใหญ่
    เขาไม่มีแผนการหนีสักแผน.ต้องการง่ายๆว่าจะหาที่หลบมั่นคงสักแห่ง และสู้ตำรวจจนตัวเองโดนยิงจนพรุน..
    ครั้งแรกผมก็เห็นด้วยกับเขา..ผละจากบ้านของเพื่อนที่ไม่ได้ร่วมคิด..ไปหาที่สู้ตาย..ทางเลือกอื่นไม่เห็นมี.ผมไม่ใสบริสุทธิ์จนมองไม่ออกว่า. ไปถึงศาลแล้วเขาไม่มีทางรอด หลักฐานรัดแน่นปานนี้...ทันใดผมก็คิดได้..ทางหนีที่ อัศจรรย์แสน..ทางสายที่แปลกประหลาดยิ่ง..แต่มันเหมาะสมที่สุดแล้วในนาทีนั้น.ผมบอกเพื่อนรักคนนี้ของผม..เล่าถึงความลับสำคัญนั้น..พิสูจน์ให้เขาเห็นว่า มันใช้เป็นทางหนีสุดท้ายได้...
    พูดสั้นๆคือ ผมขอให้เขาเสี่ยง..หนีไปในอวกาศแทนจะอยู่รอความตายที่มาแน่นอนไม่นานนี้
    เขาตอบตกลง.ไม่มีสถานที่แห่งใดในจักรวาลที่จะรองรับชีวิตของมนุษย์.ทว่าผมสามารถมองลึกผ่านตามนุษย์อื่นออกไป.ในจักรวาล นอกเหนือจักรวาล..และผมเลือกดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ซึ่งรู้ว่า เป็นดวงเดียวที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้----ดาวป่าเถื่อน.ไร้ศิวิไลซ์.ดาวที่ประหลาดแสน..ดาวที่ผมตั้งชื่อว่า อัลมูริก
    เคอร์นรู้ซึ้งถึงอัตราเสี่ยงและความไม่แน่นอนทั้งปวง..เหมือนที่ผมรู้..แต่เขาเป็นคนไม่มีความกลัว..และกระบวนการเดินทางอันอัศจรรย์ก็สำเร็จลงในคืนนั้น..เอสู เคอร์นออกไปจากโลกที่ให้กำเนิด.มุ่งไปดาวที่โคจรแสนใกล.ที่แปลกแตกต่าง,ที่ไม่แยแสผ่อนปรนให้หน้าใหน..ดาวที่ประหลาดนัก...
    คำบอกเล่าของเอสู เคอร์น
            บทที่ 01
    กระบวนการเดินทางนี้รวดเร็วนัก ดูเหมือนเวลาสั้นกว่านาฬิกาเดินติ๊กเดียว.ระหว่างผมก้าวเข้าไปใน เครื่องกลประหลาดของศาสตราจารย์ ฮิลเดอร์แบรน.และมาพบตัวเองยืนอยู่กลางแสงอาทิตย์จ้า บนที่ราบกว้างใหญ่.ผมไม่อาจสงสัยได้เลยว่า จะถูกส่งตัวมาถึงดาวอื่น.ทิวทัศน์นั้นไม่แปลกพิลึกอย่างที่คาดคิดไว้..แต่เถึยงไม่ได้เลยว่า สถานที่ซึ่งยืนอยู่นี่ไม่ใช่โลก..
    แต่ก่อนที่จะไปพิจารณาสิ่งแวดล้อม.ผมสำรวจตัวเองก่อน..ดูเหมือนว่า ผมผ่านการเดินทางสั่นประสาทนี้มาได้ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ.กล้ามเนื้อยังทำงานได้ว่องไวเปี่ยมพลังเหมือนเคย..แต่ว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีผ้าผ่อนสักชิ้น..ฮิลเดอร์แบรนบอกไว้แล้ว..สิ่งไม่มีชีวิตไม่อาจส่งผ่านมาด้วยวิธีนี้..ต้องสิ่งที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อ กระเพื่อมไปด้วยชีวิตเท่านั้นจีงอาจผ่านห้วงสมุทร์กว้างไพศาลที่กั้นระหว่างสองดวงดาว.ข้ามมาได้โดยคงสภาพเดิม..
    ผมพึงใจแล้วที่ไม่ไปอยู่บนดาวที่เป็นน้ำแข็ง และหิมะ.ยืนอยู่บนที่ราบนั้นเหมือนยืนอยู่กลางทุ่งในฤดูร้อนที่เงียบเหงาบนโลก..ดวงอาทิตย์ก็ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเปลือยของผม.
    มองไปทางไหนก็เห็นแต่ที่ราบแลลิ่วลิบ.ปกคลุมด้วยหญ้าต้นเตี้ยๆ แน่นหนา.ห่างออกไปที่ต้นหญ้าสูงกว่าแถวนี้ ผมมองเห็นประกายวับของน้ำระหว่างกอหญ้า.ด้านโน้น ด้านนี้ ..เมื่อมองไล่ตามไปรอบด้าน ก็สรุปได้ว่า เป็นแม่น้ำแคบๆหลายสายใหลคดเคี้ยว .มีจุดสีดำๆ มากมายเคลื่อนไหวไปมาระหว่างกอหญ้าริมแม่น้ำ มันเป็นอะไรผมอยู่ใกลเกินกว่าที่จะบอกได้.ไงก็เถิด..เห็นชัดแล้วว่าตัวเองไม่ได้มาอยู่บนดาวดวงที่ไร้สิ่งมีชีวิต.ตอนนี้ผมยังระบุรูปลักษณ์ของพวกจุดลิบๆนี้มิได้..แต่ด้วยจินตนาการมองหมือนๆรูปที่ผู้คนเห็นยามฝันร้าย..
    การถูกส่งจากโลกของตัวเองมาโลกใหม่ที่แปลกประหลาดแบบนี้ในฉับพลันทันที มันเป็นเรื่องสยองขวัญทีเดียว.จะคุยว่าผมไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด, คงไม่ได้ .ผมผู้ซึ่งไม่เคยรู้จักความกลัว.ร่างกายกลายเป็นก้อนเนื้อสั่นสะท้าน,ขวัญหนีดีฝ่อ,กลัวแม้แตเงาตัวเอง.มันคือความสำนึกว่าร่างกายมนุษย์นี้หนอ แท้จริงแล้ว แบบบาง อ่อนแอปานใด.เสมือนกายของเด็กเล็กๆ,นี่จะไปต่อสู้กับดาวประหลาดทั้งดวงได้อย่างไร? ในนาทีนั้น ผมเต็มใจที่จะได้โอกาสกลับไปโลกเดิม ไปพบกับห้องประหารยังดีกว่า.ที่จะไปเผชิญหน้ากับความน่าสพรึงที่ยังระบุไม่ได้.ที่จินตนาการว่าอาศัยอยู่ในโลกใหม่ใบนี้..แต่ไม่นานไม่นานเลย ผมก็ได้พบว่ากล้ามเนื้อกระดูกเปี่ยมพลังของตน.สิ่งซึ่งผมเกลียดชังนักเพราะมันนำมาแต่ความยุ่งยาก จะสามารถนำผมรอดพ้นภัยร้ายมากหลาย พิศดารเกินความฝัน...
    เสียงเบาๆข้างหลังทำให้ผมหันกลับไป พบกับชีวิตท้องถิ่นชีวิตแรกของ อัลมูริก.ภาพที่ผมเห็น.ถึงจะดูมุ่งร้ายและมีภัยยิ่งนัก.ก็ขับไล่ความเย็นเยือกด้วยความกลัวออกไปจากเลือดในกาย..และนำความกล้าที่ชักจะถดถอยกลับมาได้บ้าง.สิ่งที่เป็นเนื้อหนังมังสาจับต้องได้.ไม่น่ากลัวเท่าสิ่งที่มองไม่เห็นในจินตนาการแน่นอน.
     เหลือบมองครั้งแรก ผมคิดว่า มันเป็นลิงกอริลล่า มายืนอยู่ข้างหน้า.และก็มองออกในทันทีว่า นี่คือมนุษย์ ไม่ใช่ลิง,แต่เป็นมนุษย์แบบที่ผมหรือชาวโลกคนใด ไม่เคยพบเห็นมาก่อน.
    ความสูงของเขาไม่มากกว่าผม.แต่ความกว้างเหนือกว่า และน้ำหนักต้องมากกว่า.ไหล่กว้างใหญ่,กล้ามเนื้อแขนขาและตามตัว ใหญ่หนาปึก .เขานุ่งผ้าเตี่ยวสั้นๆผืนเดียว เนื้อผ้าคล้ายผ้าไหม.คาดเข็มขัดใหญ่กว้าง.พกมีดเล่มยาวในซองหนังที่เอว.รองเท้าคีบเป็นหนังผูกรัดด้วยสายหนังสัตว์สูงขึ้นมาครึ่งน่อง..รายละเอียดพวกนี้ผมมองผ่านแวบเดียว..มาติดใจพิจารณาที่ใบหน้า...
    ใบหน้าของมนุษย์ผู้นี้ บรรยายยาก.ศรีษะตั้งมั่นคงระหว่างไหล่กว้าง.คอนั้นล่ำสันจนดูเหมือนไม่มีคอ.คางเป็นเหลี่ยมดูแข็งแกร่ง.ริมฝีปากกว้างเผยแยกให้เห็นเขี้ยวและฟันเหมือนเขี้ยวหมูป่างาช้าง,คางประดับด้วยเคราสั้นๆ เพิ่มเติมด้วยหนวดโค้งดุเดือด, ด้านจมูกนั้นแทบจะไม่มี.แบนราบปีกจมูกบานกว้าง,นัยน์ตาเล็ก,สีเทาน้ำแข็ง แดงกล่ำ,หน้าผากจากคิ้วที่ดกหนา ลาดทำมุมชันเข้าไปถึงผมหยาบกระด้าง..หูเล็กนิดเดียว.
    เส้นผมเหมือนขนคอสิงโตและหนวดเครา .และทั่วร่างกายแขนขาปกคลุมไปด้วยขนสีน้ำเงินเกือบดำ.มนุษย์นายนี้ไม่ได้มีขนดกขนาดลิงค่าง.แต่มีขนตามตัวมากกว่า มนุษย์โลกคนได้ที่ผมได้พบเห็น.
    ผมมองออกในทันที...เขาคนนี้ จะมาดีหรือมาร้าย,เป็นผู้ที่น่ากลัวยิ่งนัก. เปล่งเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง—แกร่ง-แข็ง และป่าเถื่อน.กล้ามเนื้อล้วนๆไม่มีไขมันส่วนเกินแม้นิดน้อย. ร่างกายใหญ่โต.กระดูกใหญ่,กล้ามเนื้อที่กระเพื่อมไหวใต้ผิวขนดกนี้ ดูแข็งปานเหล็ก..ทว่า ไม่ใช่รูปกายของเขาดอก,ที่บ่งบอกอันตราย.มันเป็นอาการวางตัวของเขา.ทั้งปวงมันบอกถึง.กำลังกายมหาศาล หนุนด้วยจิตที่ทารุณและหยิ่งยะโสไม่มีผ่อนปรน..ยามเมื่อผมมองสบตา,ใจของผมก็เริ่มเกิดโทสะ.ท่าทางของเขามันแสดงความยะโส กวนประสาทเหลือบรรยาย.ผมรู้สึกว่า กล้ามเนื้อมือไม้เกร็งแข็งขึ้นทันที.
    แต่ในนาทีนั้นเองความไม่พอใจของผมถูกกลบด้วยความประหลาดใจเพราะผมได้ยินเขาพูด" เป็นภาษาอังกฤษชัดเจน!
    “ท้าก! มึงมันคนอะไรวะนี่?”
    น้ำเสียงหยาบกระด้าง ดูถูกเยาะเย้ย.ไม่มีความสุภาพหรือมารยาทใดในมนุษย์ผู้นี้,นี่คือการแสดงออกตามสัญชาติญาณเถื่อนแท้ไม่มีเจือปน, ความโกรธบ้าเลือดของผมเริ่มเกิดขึ้นอีกแล้ว,แต่ผมสะกดมันไว้ได้.
    “ผมชึ่อ เอสู เคอร์น" ผมตอบกลับแล้วก็นึกคำพูดต่อไม่ออก.จะบรรยายยังไงว่าผมมาที่นี่ทางไหน,อย่างไร.
    “ท้ากเป็นพยาน,มึงมันตัวผู้หรือตัวเมียวะ?”
    คำตอบครั้งนี้ของผมคือ กำปั้นที่ส่งเขาลงไปนอนบนพื้นหญ้า
    ผมทำไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลังอีกรั้งแล้ว,อารมณ์คนเถื่อนของตัวเอง ทรยศผมอีกแล้ว.แต่คราวนี้ไม่มีเวลามาเสียใจ,มนุษย์ขนดกผู้นั้นกระโจนลุกขึ้น คำรามดุเดือดเหมือนสัตว์ พุ่งเข้าใส่ผม.ผมปะทะเขา อกต่ออก,บ้าเลือด
เหมือนๆกัน.และในวินาทีต่อมาก็รู้ว่า นี่เป็นการสู้ถึงเอาชีวิต..
    ผม,ผู้ซึ่งทุกครั้งคราวจะต้องควบคุมกำลังตนยับยั้งใจ,ไม่เช่นนั้นก็จะทำร้ายเพื่อนมนุษย์สาหัส, เป็นครั้งแรกในชีวิต..ถูกรัดไว้ในวงแขนที่แข็งแรงกว่า,รู้ได้ทันทีในการสัมผัสตัวกันครั้งแรก.เขาแรงมากกว่าผม,เกือบจะสิ้นหวังทีเดียว ก่อนจะดิ้นหลุดออกมาได้..
    การต่อสู้ครั้งนี้จบลงอย่างสั้นๆและรุนแรงยิ่ง.สิ่งเดียวที่ช่วยชีวิตผมไว้ คือคู่ต่อสู้ไม่รู้วิธีใช้กำปั้น.หรือวิชามวย รู้แต่วิธีจับตัวให้มั่นแล้วหัก,หัก,หัก.เขาสามารถชกได้แรงด้วยกำปั้น,แต่มันเป็นหมัดที่ไม่ได้ฝึกฝน,มันไม่เข้าเป้า,กะระยะเวลาพลาด,และเก้กังเชื่องข้า.สามครั้งที่เขาคว้าตัวผมไว้ได้ ผมใช้กำปั้นแก้ตัวออกมา.จะให้เขาจับไม่ได้ เขาหักคอผมได้แน่นอน,เขาไม่มีพรสวรรค์ทางหลบกำปั้น, ไม่มีมนุษย์ใดบนโลกจะทนทานกำปั้นที่ผม ระดมเข้าใส่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า.แต่เขาก็พุ่งกลับมาได้ทุกที,กางแขนกว้าง หาทางจะคว้าจับผม.ลากลงพื้น,เล็บมือนี้ แหลมคมเหมือนเล็บเสือ,ไม่นานผมก็ได้เลือดจากหลายแผลที่เล็บคมนี้ข่วนฉีกเนื้อ.
    ทำไมเขาถึงไม่ชักมีด?,ผมก็ไม่เข้าใจ ,เว้นแต่ว่า เขาแน่ใจสุดๆว่าใช้แค่มือเปล่าก็บดขยี้ผมได้แล้ว..คงจะเป็นแบบนี้,เพราะท้ายสุด หลังจากที่เขาตาปิดไปครึ่งค่อน,เลือดไหลรินออกมาทางหู,และแผลฟันหักในปาก,เขาก็เอื้อมมือไปดึงมีดที่เอว,การเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้ผมมีชัย.
    ถอยจากความพยายามคลุกวงในไปก้าวหนึ่ง เขายืดตัวขึ้น มือขวาเอื้อมลงไปจะดึงมีด.,แวบนี้เอง ผมส่งกำปั้นซ้าย ส่งไปด้วยกำลังทั้งสิ้นของไหล่,แถมด้วยกำลังขาที่โถมเข้าไป,ลมออกทางปากเขาดังวู้ซ.กำปั้นผมจมลงไปในท้องเขาถึงข้อมือ, เขาโงนเงน,ปากอ้ากว้างสูดหายใจ, และผมส่งกำปั้นขวาตามไปที่กราม,หมัดนี้เหวี่ยงขึ้นมาจากสะโพก.นำส่งด้วยพลังและน้ำหนักตัวทุกออนซ์ของผม,เขาล้มลงเหมือนวัวถูกทุบ,นอนนิ่งไม่ไหวติง.กำปั้นท้ายสุดนี้ฉีกปากเขาจากมุมปากลงมาถึงคาง,กรามก็คงจะแตกแน่นอน.
    หายใจหอบเหนื่อยจากความดุเดือดของการต่อสู้,ปวดร้าวไปทั้วกายด้วยถูกบีบจากมือเหมือนคีมเหล็ก,ผมถูนิ้วมือถลอกเลือดซิบ,และมองลงไปที่ร่างศัตรู....ถามตัวเองว่า..นี่เราหาเรื่องลำบากใส่ตัวอีกแล้วหรือ? เกิดเรื่องแบบนี้ .ก็คงไม่ต้องหวังหามิตรสหายหรือที่พักพิงในอัลมูริก..ผมริบผ้านุ่ง,เข็มขัดและอาวุธของเขามาเป็นของตัวเอง.นุ่งผ้าคาดมีดแล้วก็รู้สึกความมั่นใจพอจะกลับมาบ้าง,อย่างน้อยบัดนี้ ผมมีผ้านุ่งและมีอาวุธ.
    ผมพิจารณามืดเล่มนั้นอย่างสนใจ....ความยาวราวสิบเก้านิ้ว.ทำคมทั้งสองด้าน,คมเหมือนมีดโกน.ตรงกลางกว้างเรียวลงไปหาปลาย.นี่เป็นอาวุธสังหารและใช้ในการต่อสู้,ไม่ใช่มีดแล่เนื้อทำครัว.มีการ์ดกันนิ้วระหว่างใบและด้าม,ที่สุดด้ามมีปุ่มโลหะรูปกลมไว้กันไม่ให้มีดหลุดมือ .เป็นโลหะสีเงิน.ตัวด้ามหุ้มด้วยหนังสัตว์ผิวปุ่มปมกันลื่น.ไม่เคยพบมีดสังหารเล่มใดงามเปี่ยมพลังเท่าเล่มนี้..ใบมีดดูเหมือนตีจากเหล็กกล้า แต่คุณภาพเหนือกว่าเหล็กกล้าใดๆที่ผมเคยผ่านมา...ผลรวมออกมาเป็นงานศิลปะของการตีมีดอย่างล้ำเลิศ,และเห็นได้ชัดว่าทำจากมือของพวกที่มีอารยธรรมสูง.
    ละสายตาจากมีด ผมมองศัตรูที่พื้น เขาชักจะขยับร่างใกล้จะฟื้น.สัญชาติญานสั่งให้ผมกวาดตาไปตามทุ่งหญ้า,ห่างออกไปทางใต้,ผมแลเห็นอะไรกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าตรงมา,เป็นคนแน่นอน,มีอาวุธแน่นอน, เพราะประกายสะท้อนแวบจากแสงตะวันสาดต้องอาวุธ,บางทีพวกนี้มาจากเผ่าเดียวกับคู่ต่อสู้ของผม,ถ้าเขามาเห็นผม.ยืนเหนือร่าง พรรคพวกที่นอนสิ้นสติ,มีของที่ยึดได้อยู่ที่กาย..พวกเขาจะคิดอย่างไร,ทำอะไร..เดาได้ไม่ยาก...
    ผมมองหาทางหนีไปรอบๆ,พบว่าทิศหนึ่งของทุ่งราบนี้ เป็นเนินเขาเขียวเตี้ยๆ และต่อไปเป็นเนินสูงขึ้นๆ สลับซับซ้อนห่างออกไป..มองกลับไปก็เห็นกลุ่มคนพวกนั้นถูกบังด้วยกอหญ้าสูง..ที่ริมสายน้ำ..เขาต้องข้ามสายน้ำนี้ก่อนที่จะมาถึงตรงนี้...
    รอไม่ได้อีกแล้ว,ผมหันกลับวิ่งอย่างเร็วไปยังเนินเขาที่เห็น.ไม่ผ่อนความเร็วจนขึ้นถึงยอดเนินลูกแรก ถึงหันมามองกลับไป,พวกนั้นมาถึงและจับกลุ่มรอบร่างของศัตรู,ผมวิ่งลงเนินด้านตรงข้ามอย่างเร็วและมองไม่เห็นพวกเขาอีก,
    วิ่งไปอีกชั่วโมงผมก็มาถึงเขตเขาสูง,ไม่เคยเห็นภูมิประเทศไหนจะผ่านเข้าไปยากปานนี้.พื้นที่เป็นผาสูงชันไปรอบด้าน,หินก้อนใหญ่ๆที่หมิ่นเหม่จะกลิ้งลงมาทับคนเดินทาง, ผาหินเปลือย,สีแดง ,พืชพรรณนั้นน้อยนัก.ต้นเล็กๆเตี้ยๆ นอกจากบางต้นส่วนน้อยที่เติบโตแบบแกนๆ แต่กิ่งก้านกว้างเท่ากับความสูง,และยังมีไม้พุ่มหนามคมที่มีฝักเหมือนพวกถั่วรูปร่างชอบกล เมื่อผมบีบแตกเนื้อในนุ่มนิ่ม.แต่ผมไม่กล้าใส่ปากกิน.แม้ว่าจะรู้สึกหิว..
    หิวอาหารน่ะยังไม่เท่าหิวน้ำ.แต่ไม่นาน ผมก็พบน้ำดื่มแก้กระหาย..แต่ก็เกือบจะเอาชีวิตเข้าไปแลก,ด้านหนึ่ง ต่ำลงไปตามหน้าผาชัน,มีที่ราบแคบ,ต้นฝักถั่ว ขึ้นหนาแน่น และที่กลางพื้นที่นี้.มีสระน้ำกว้าง,เห็นได้ชัดว่า มีน้ำซึมออกมาจากใต้ดินต่อเนื่อง,เพราะกลางสระมีน้ำผุดบุ๋งๆขึ้นมาไม่ขาดสาย,จนล้นออกไปทางทางน้ำเล็กๆ ใหลหายไปตามซอกเขา.
    ผมใต่ลงไปที่สระนี้ ,นอนคว่ำลง จุ่มหน้าลงดูดกินน้ำเย็นและใสเหมือนผลึกแก้ว..น้ำนี้ จริงอยู่,อาจจะมีพิษคนต่างโลกดื่มเข้าไปก็ถึงตาย..แต่ผมยอมเสี่ยง เพราะกระหายน้ำสุดทน,น้ำมีรสเฝื่อนๆ เหมือนน้ำทั่วๆไปในอัลมูริกที่ผมได้ดื่มต่อๆมา. แต่มันอร่อยและดับกระหายได้วิเศษสุด.ผมนอนกลิ้งเพลินอยู่ริมสระอย่างนั้น ,ดื่มด่ำความเย็นชื่นใจและเปี่ยมด้วยความสุข,  ผมทำสิ่งผิดมหันต์..ยามมีกิน,กินให้เร็ว ยามมีดื่มอย่าดื่มช้า...ยามนอนอย่าหลับพลิน.อย่าหยุดนิ่งกับที่,มัวไปพิจารณาอะไรนาน,นึกไว้เสมอว่ากำลังเป็นเป้า..นี่เป็นกฏข้อแรกๆของป่าอัลมูริก.ใครที่ไม่ทำ
ตามกฏนี้ ก็อยู่ไม่นาน..
    ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์,เสียงน้ำผุดบุ๋งๆจากตาน้ำกลางสระ.ความรู้สึกได้ผ่อนพัก.และได้ดับกระหายหลัง
ความเหนื่อยอ่อนและกระหาย.สิ่งพวกนี้กล่อมให้ผมเคลื้มหลับ...มันคงเป็นจิตใต้สำนึกบางส่วนที่เตือนผม,เมื่อเสียง
ควั่บเบาๆแว่วมาถึง.นี่เป็นเสียงแปลกใหม่ไม่เข้าหมู่พวก ,ไม่ใช่เสียงบุ๋งๆของน้ำหรือวิ้วๆของลม..ก่อนที่สมองผมจะแปลเสียงนี้ออกได้ว่า เป็นเสียงแกรกของร่างใหญ่บางร่างแหวกหญ้ารก.ผมกลิ้งตัวออกจากที่เดิม.มือเอื้อมไปที่ด้ามมีด.
    มีเสียงคำรามจนหูแทบดับ.มีเสียงบางสิ่งแหวกอากาศ,สัตว์ร่างมหึมาตระครุบลงบนพื้นตรงที่ผมเพิ่งกลิ้งพ้นมา,เฉียดใกล้จนเล็บของมันฉีกเนื้อที่ต้นขาผม,ไม่มีเวลามองดูเลยว่าตัวอะไรเข้าตะครุบ.เห็นแวบว่าเป็นสัตว์ใหญ่ ปราดเปรียว.และเป็นสัตว์ตระกูลเสือ.ผมพยายามกลิ้งตัวหนีสุดกำลัง,ขณะที่มันตะปบซ้ำและหันกายเข้าคล่อม,และยามที่ผมรู้สึกถึงกรงเล็บแหลมคมฉีกเนื้อ ผมก็รู้สึกถึงความเยือกเย็นของน้ำในสระ..ที่ขึ้นมาท่วมเราทั้งคู่.มีเสียงคำรามเหมือนเสือก้องในน้ำ ฟังออกว่า เสียงต้องออกมาจากหลอดลมที่น้ำเข้าไปเต็ม.เสียงสำลักน้ำ.รู้สึกว่า ร่างผู้โจมตีหมุนและผละจากไป..เมื่อผมโผล่ขึ้นจากน้ำ เห็นเพียงบางสิ่งเผ่นหายไประหว่างพุ่มไม้ตีนเขา.มันเป็นตัวอะไรผมบอกแน่ไม่ได้,แต่มันดูเหมือนเสือดาว.แต่เป็นเสือตัวใหญ่กว่าที่เคยเห็นมา.
    มองไปรอบๆสระ ผมไม่เห็นภัยอื่น.ผมค่อยคลานขึ้นจากสระ.ตัวสั่นด้วยความเย็นของน้ำ.มีดก็ยังอยู่่ใ่นฝัก.ไม่มีเวลาชักขึ้นมาเลย.ถึงชักทันก็คงช่วยอะไรไม่ได้,หากผมไม่กลิ้งตัวดึงเราทั้งคู่ลงน้ำ ผมคงจบเห่ไปแล้ว..เห็นได้ชัดว่าที่มันรีบผละไป ก็คงจากธรรมชาติแมวทั้งหลาย คือไม่ชอบน้ำ.
    มีแผลข่วนฉกรรจ์ที่ขาอ่อน.และแผลเล็กที่บ่า.เลือดทะลักพลั่งออกมาทางแผลที่ขา..ผมเอาขาข้างนั้นแช่ลงไปในน้ำสระที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง.ครางออกมากลั้นไม่อยู่จากความแสบชาจากน้ำเย็นสัมผัสแผลสด,ขาจวนจะชาแข็งทีเดียว เมื่อเลือดหยุดไหล.
    ยามนี้ผมสับสนไปหมด..หาทางออกไม่ได้,หิวอาหาร,จวนมืดแล้ว,บอกไม่ได้ว่า สัตว์เหมือนเสือดาวนั้นจะกลับมาหรือไม่.หรือจะมีสัตว์นักล่าอื่นๆเข้ามาโจมตี.นอกจากนั้น ผมบาดเจ็บ,มนุษย์ชาวศิวิไลซ์นั้นอ่อนแอ,พิการหมดทางหนีได้อย่างง่ายดาย,ชาวกรุงทุกคนมีแผลฉกรรจ์เท่าผม ต้องนอนโรงพยาบาลไปเป็นเดือน,หรือพิการไปเลย. แข็งแรงและทนทานอย่างผม.ก็สิ้นหวังเมื่อตรวจบาดแผล นึกไม่ออกว่าจะรักษาอย่างไร.และอัลมูริกก็ไม่ให้เวลาผมนั่งนึกได้นานด้วยซ้ำ...
    ผมเดินขโยกเขยกตรงไปที่หน้าผา.หวังว่าจะหาถ้ำสักถ้ำซุกกายได้บนนั้น.อากาศเย็นลงรวดเร็วเดาได้ว่ากลางคืนคงจะหนาวจัด ไม่อบอุ่นเหมือนกลางวัน,มีเสียงเห่าหอนสยองก็ดังขึ้นที่ปากทางช่องเขาเปิด,ผมหันไป,เห็นฝูงสัตว์คล้ายหมาป่าไฮยีนา ต่างจากเสียงเห่าที่ฟังเหมือนหมาในนรกมากกว่าหมาบนโลก.ไม่ต้องหวังเลยว่ามันจะมาดี ,มันมารุมฉีนเนื้อผมกินแน่ๆ,
    เมื่อจวนตัวจวนตาย ก็ต้องลืมความเจ็บ.ก่อนนั้นผมเดินกระโผลกระเผลกไปข้าๆ บัดนี้ผมเผ่นออกไปเหมือนยามปรกติ.ทุกๆก้าวไปบนความเจ็บปวดเหลือแสน.เลือดทะลักออกมาอีกโชกชุ่ม ผมกัดฟัน เร่งความเร็ว..
    ผู้ไล่ล่า ส่งเสียงเห่า,และวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วเกิดคาด,จนผมเกือบสิ้นหวังว่าจะไปถึงต้นไม้ที่ขึ้นชิดผาได้ทัน.แต่ก่อนที่พวกมันจะถึงตัวลากผมลง..ผมก็ตะกายขึ้นต้นไม้แกรนๆที่ริมผา.ได้ก่อนมันโจนงับน่องผมตังกรั๊บแต่งับพลาด..ผมไต่ขึ้นนั่งบนกิ่งไม้ ถอนใจโล่งอกแล้วก็ต้องตกใจ.เมื่อมองลงไปเห็นว่า หมาพวกนี้ปีนต้นไม้ได้.พิจารณาดีๆ ก็พบว่า พวกมันไม่เชิงเหมือนหมาป่าบนโลกทีเดียว มันแตกต่างจากสัตว์พันธุ์ที่คล้ายๆกันบนโลก..พวกนี้มีกรงเล็บเหมือนแมว.รูปร่างก็เหมือนหมาผสมแมวกระทั่งปีนต้นไม้ได้..
    ผมเกือบจะหันเข้าสู้แบบจนตรอก,ก็เหลือบเห็นผาชันเหนือหัวขึ้นไปแตกเป็นช่องแผ่นราบ. กว้างพอสำหรับคนหนึ่งคน.ตรงนั้นหินผุกร่อนและกิ่งไม้ก็เอนแนบไป.กับผนังผา.ผมตะกายลากสังขารที่บอบช้ำเลือดโซมขึ้นไปตามทางชันนี้จนได้ ไปนอนอยู่บนแผ่นหินนั้น จ้องเคียดแค้นลงมายังผู้ไล่ตาม ซึ่งบัดนี้ เกาะอยู่ที่ปลายกิ่งยอดของต้นไม้.หอนเห่าเหมือนผีหลงทางไปนรก.เห็นได้ชัดว่า ความสามารถปีนต้นไม้ของมัน ไม่รวมความสามารถที่จะปีนเขา.เพราะหลังจากการโดดขึ้นมาครั้งแรก.เล็บตะกายพยายามเกาะหิน.ก็หงายหลังร่วงหล่นตุ้บลงไป ร้องเอ็ดด้วยเจ็บตัว.จากนั้นก็ไม่พยายามขึ้นถึงตัวผมอีกเลย.
    พวกมันไม่ยอมไป เฝ้าอยู่ข้างล่าง.ดวงดาวเริ่มปรากฏ.กลุ่มดาวที่ไม่คุ้นตาประดับฟ้าสีดำปานกำมะหยี่.และดวงจันทร์ดวงใหญ่ก็โคจรขึ้นมาเหนือหน้าผา.สองแสงนวลประหลาดลงไปยังเนินเขา;ผู้ไล่ล่าผมก็ยังไม่ยอมจากไป นั่งเกาะกิ่งไม้ข้างล่างสลอน.หอนเห่าขึ้นมาหาผม ด้วยความเดือดดาลและท้องว่างเปล่า..
    อากาศเย็นลงอีก.คราบน้ำแข็งเริ่มจับตามหินที่ผมอาศัยนอน.แขนขาผมเริ่มชาแข็ง.ผมเอาเข็มขัดรัดขาขันชะเนาะห้ามเลือด:การวิ่งหนีตายเมื่อตะกี้คงจะทำให้เส้นเลือดที่แผลแตกอีก เพราะเลือดไหลพลั่งออกมาอย่างน่าตกใจ.
    ผมไม่เคยผ่านคืนไหนที่ทรมาณเท่าคืนนั้น.นอนบนแผ่นหินเย็นจนปุยน้ำแข็งเกาะ.ตัวสั่นงั่กๆจากความหนาว,ต่ำลงไปดวงตาของผู้ไล่ล่า ลุกโชนจ้องมอง.ตามเนินเขาเงามืด ก้องไปด้วยเสียงของสัตว์ที่ไม่รู้ว่าตัวอะไร.มีทั้งเสียงหอน.เสียงกรีด.เสียงเห่า.เสียงขู่คำรามสารพัดก้องไปทั่วในราตรี.บนนั้นผมนอนซม,แทบจะแก้ผ้า,บาดเจ็บ,หนาวเย็นจวนเป็นน้ำแข็ง และหวาดกลัว.นี่กระมังบรรพบุรุษของพวกเรา คงจะเคยนอนแบบนี้ ในยุคหินโลกเถื่อน.ในโลกของเรา...
    ผมเข้าใจแล้วว่า ทำไมบรรพชนยุคโน้นของโลกเราจึงบูชาพระอาทิตย์.เมื่อดวงจันทร์เยือกเย็นตกลับไปในที่สุด.ยามดวงตะวันของอัลมูริกโคจรขึ้นส่องยอดเขาใกลโน้นสีเหมือนทาทอง..ผมเกือบร้องไห้ด้วยความยินดี.ข้างล่าง ฝูงไฮยีน่าคำราม ยืดตัว เห่าขึ้นมาใส่หน้าผมนิดหน่อย.แล้วก็ชักฝูงวิ่งจากไป หาเหยื่อที่ล่าง่ายกว่านี้..อย่างช้าๆ ความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ขับไล่ความหนาวเหน็บเย็นชาจากแขนขาร่างกายผม.และผมลุกยืนอย่างแข็งๆต้อนรับการมาของตะวัน.เหมือนบรรพชนที่กำเนิดก่อนแสนนาน ยืนขึ้นรับตะวัน ครั้งเมื่อโลกยังเป็นเด็กน้อย.
    ถึงตอนสาย ผมก็ไต่ลงมา,แล้วก็เป็นลมไปตรงกอไม้ผลถั่ว.หน้ามืดเพราะความหิว.,และก็ปลงตกว่า ตายด้วยถั่วเป็นพิษดีกว่าอดตาย.ผมทุบเปลือกหนาของถั่วนี้ เคี้ยวกินเม็ดในที่เป็นเนื้อแน่นนิ่ม.แกะเม็ดใส่ปาก แกะเม็ดใส่ปาก.จำไม่ได้เลยว่า เคยกินอาหารมือใดบนโลกอร่อยเท่านี้:อร่อยและอุดมด้วยสารอาหาร. ผมเริ่มเอาชนะสิ่งแวดล้อม,อย่างน้อยเกี่ยวกับอาหารใส่ท้อง,ผมก้าวข้ามปัญหาแรกของการใช้ชีวิตบนอัลมูริก.
    ไม่จำเป็นต้องเล่าละเอียดนัก ถึงชีวิตของผมในหลายเดือนต่อมา.ผมอาศัยอยู่ที่เนินเขาเดิม.ผ่านทุกข์ลำเค็ญและภัยมหัันต์มากมาย แบบที่มนุษย์โลกไม่เคยเจอมาในรอบหมื่นๆปี.กล้าบอกได้เพียงว่า.ต้องคนที่มีกำลังและความทรหดเหนือคนอื่นมากมายนัก.จึงจะรอดอยู่ได้แบบผมทำ.ไม่เพียงรอดอยู่ได้ ผมแข็งแรงขึ้น.
    ชั้นแรกผมไม่กล้าออกไปนอกหุบเขาแนวเนิน.ที่นี่มีน้ำและอาหารแน่นอน..ผมเอาเศษไม้ใบหญ้ามาขัดกันเป็นรังแบบรังนก อยู่บนชะง่อนผา.และอาศัยนอนตอนกลางคืน..นอน? อย่าพูดคำนั้นดีกว่าท่านจะเข้าใจผิด.ผมนั่งงดตัวสั่นงั่กๆ อยู่บนนั้นต่างหาก.ด้วยความหนาว.ทนรอเวลาสว่าง.เมื่อความอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ฉายมา ผมก็อาศัยงีบหลับเป็นครั้งคราว.หัดตัวให้หลับได้ทุกที่.ทุกเวลาเมื่อหาโอกาศได้.หลับสนิทไม่ได้นาน มีเสียงผิดปรกติแผ่วเบาแค่ไหน ก็ปลุกผมตื่น.เวลาที่เหลือผมสำรวจไปตามหุบเขาและลูกเนินแถวนั้น.หาเก็บถั่วกิน.การสำรวจออกหากินแบบอนาถาสุดๆของผมนี้ ไม่ใช่ว่าจะน่าเบื่อรำคาญ.มีเรื่องให้สนุกเสมอๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องเผ่นหนีตะกายขึ้นต้นไม้หรือหน้าผา บางทีรอดเฉียดฉิวแค่เส้นผม.เนินและหุบแถวนี้อุดมไปด้วยสัตร์ร้ายๆ แต่ละชนิดชอบกินเนื้อ .
    เหตุผลที่เล่านี้ ทำให้ผมป้วนเปี้ยนอยู่แถวหุบเนินแห่งแรกหลายเดือน.และเหตุผลทำนองนี้ที่ทำให้ผมต้องหาทางออกไป.เหตุผลเดิมๆที่ไล่ให้มนุษย์ลิงลงจากความปลอดภัยบนยอดไม้.ไล่ให้ชาวยุโรปลงเรืออพยพมาทวีปใหม่..คือ มาหาอาหาร.ต้นถั่วชักจะไม่เหลือฝักให้กิน.ถูกเก็บกินจนโกร๋น..จะว่าไปมันก็ไม่ได้หมดเพราะผมคนเดียว ถึงว่าผมต้องเก็บกินไปเป็นกองๆ หิวโหยเสมอ เพราะต้องใช้กำลังเผ่นหนีสัตว์ทั้งหลายแทบทั้งวัน:ยังมีสัตว์อื่นมาหากินถั่วแถวนี้.....ชนิดหนึ่งตัวคล้ายหมีขนรุงรัง. อีกชนิดเหมือนลิงบาบูนขนยาว.ทั้งสองชนิดไล่ตะเพิดผมจากต้นถั่ว,หมีน่ะ หลบง่าย.ตัวมันใหญ่ด้วยกล้ามเนื้อ.แต่มันปีนป่ายไม่เป็นและตาก็ไม่ดีนัก..เป็นลิงบาบูนนี่แหละ ที่ผมทั้งเกลียดทั้งกลัว.เห็นผมเป็นต้องไล่กวดไล่งับ.วิ่งเร็ว,ปีนต้นไม้ไต่หินมันทำได้ทั้งนั้น.ผาชันหยุดยั้งไม่ได้.
    ตัวหนึ่งตามผมไปถึงรังบนแท่นหิน ตะกายตามหลังไปติดๆ.ทว่ามนุษย์เป็นสัตว์อันตรายที่สุด เมื่อจนมุม .วันนั้นขณะลิงร้ายใหญ่โตน้ำลายฟูมปากโหนขึ้นมาเขี้ยวยาวขาวอ้าจะงับคอผม....ผมแทงสวนด้วยมีด ด้วยแรงแค้น  เข้าระหว่างไหล่ มีดทะลุร่างมันเลยปักเข้าในหินแข็งตั้งนิ้ว.
    เรื่องนี้แสดงสองสิ่ง สิ่งแรกคือความคมแข็งของมีด.และกำลังที่เพิ่มพูนขึ้นของตนเอง. ผม,ผู้ซึ่งบนดาวโลกแข็งแรงไม่มีสอง..มาอยู่ในที่ป่าเถื่อนของอัลมูริกกลายเป็นคนอ่อนแอ..แต่ความเป็นไปได้มีอยู่,ความเป็นไปได้ที่จะสร้างพลังกายและปัญญาไหวพริบ.บัดนั้น ผมเริ่มค้นพบตัวเอง.
    จะอยู่รอดต้องหนังหนา.ผมหาวิธีต่างๆทำให้หนังตัวเองหนา.เนื้อหนังผม ผลจากแสงแดดและสิ่งแวดล้อมหฤโหดทั้งหลาย.เริ่มทนทานต่อร้อนและเย็น ทนได้สบายอย่างที่ผมไม่คิดว่ามาก่อนจะทนได้,กล้ามเนื้อหลายชิ้นที่ผมไม่เคยรู้ว่ามันมีอยู่เริ่มปรากฏ.กำลังและความว่องไวของผมบัดนี้ เป็นอย่างที่มนุษย์โลกจะหาดูได้ต้องย้อนหลังไปหลายๆยุค.
    ไม่นานนักก่อนที่ผมจะจากโลกที่ให้กำเนิด.อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเพาะกาย ผู้หนึ่งประกาศว่า ,ตัวผมนี่มีกล้ามเนื้อซึ่งงามทรงพลังสมบรูณที่สุดในโลก..มาผ่านการชุบแข็งจากชีวิตที่ต้องเอาตัวรอดดุเดือดมหาโหดบนอัลมูริก..ผมก็รู้ว่า ผู้เชี่ยวชาญเพาะกายท่านนั้นและตัวผมเอง ก็ ยังรู้เรื่องเพาะกายไม่หมดเปลือก.หากเอาผมตอนนั้น มายืนเปรียบกันกับตอนนี้.คนแรกคงจะดูอ่อนแอผิวบางน่าขัน. เชื่องข้า,งุ่มง่าม เหลือหลาย เมื่อมาเปรียบกับ ชายร่างยักษ์ กล้ามเป็นเหล็กที่ยืนอยู่เคียงข้าง.
    ความหนาวไม่ทำให้ผมสั่นง้นงก ตัวซีดปากเขียวอีกต่อไป..กรวดหินแหลมคมก็ตำหนังเท้าผมไม่เข้า.ผมไต่ขึ้นบนผนังหินชันดิ่งได้ง่ายๆ เร็วพอกับลิง..วิ่งทางไกลได้หลายชั่วโมงไม่มีเหนื่อย.ถ้าเป็นระยะทางสั้น.ต้องขี่ม้ามานั่นแหละถึงจะไล่ผมทัน. บาดแผลทั้งตัว.ไม่ได้รักษาอย่างใด.นอกจากล้างน้ำเย็น.ก็หายสนิท.เหมือนธรรมชาติที่จะโอบอ้อมเยียวยาทุกชีวิตเมื่อหาทางไปไม่ได้แล้ว.เข้ามาขอซุกหัวเป็นที่พึ่ง.
    ที่ผมเล่ามาก็เพื่อจะแสดงให้ท่านเห็นว่า มนุษย์ที่ถูกอัดเข้าไปพิมพ์ในเบ้าพิมพ์ที่ชื่อว่า "เบ้าพิมพ์ของความป่าเถื่อน" เมื่อถอดออกมาจะเป็นแบบไหน.หากผมไม่ไดนเข้าเตาไฟจนลุกแดง.แล้วตีด้วยค้อนแสนโหดหนักหน่วง เปรี้ยงแล้วเปรี้ยงเล่า..พลิก บนเปรี้ยงพลิกล่างอีกเปรี้ยง...จนเนื้อแข็งเป็นเหล็ก เอ็นเหนียวเหมือนวัวควาย.คงไม่มีทางรอดจาก เหตุการณ์ถึงเลือดเอาชีวิตที่เคยผ่านมาบนดาวป่าเถื่อนแห่งนี้ได้..
    เมื่อสำนึกได้ถึงพลังทีเพิ่มพูน ความมั่นใจในตนก็เพิ่มตามมา.ผมยืนหยัดประจัญหน้าเหล่าสัตว์รอบๆอย่างท้าทาย.ไม่เผ่นหนีบาบูนน้ำลายฟูมปากอีกต่อไป..ความเกลียดชังลิงฝูงนี้เพิ่มขึ้นๆไม่นานผมประกาศสงครามกับพวกมัน.อีกอย่างพวกมันแย่งผมเก็บถั่วกิน.
    ถึงตอนนี้พวกมันไม่กล้าไล่กวดผมขึ้นไปถึงรังบนชะง่อนหิน.และวันที่ผมกล้าปะทะกับมันตัวหนึ่งก็มาถึง.จะไม่มีวันลืมภาพลิงใหญ่ น้ำลายฟูมปากแยกเขี้ยวเคียดแค้น ที่วิ่งเข้าใส่จากดงต้นถั่ว..ไม่ลืมประกายเกลียดชังที่แสดงออกมาทางดวงตาเหมือนคน.ผมชักลังเลไม่แน่ใจ...แต่ถอยหนีไม่ทันแล้ว..ผมแทงสวนออกไป ผ่าอกเฉือนหัวใจมัน ก่อนที่มันจะโอบผมในวงแขน..
    แต่สัตว์ชนิดอื่นๆที่มาหาเพ่นพ่านอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้..ผมไม่ยอมไปพยายามสู้ด้วย ไม่ว่าจะได้เปรียบแค่ไหนก็ไม่เอา...หมาครึ่งแมว ไฮยีน่า..เสือดาวเขี้ยวดาบ.ตัวยาวน้ำหนักมากกว่าเสือบนโลก.ดุร้ายกว่าด้วย. สัตว์คล้าย
กวางมูสตัวมหึมาที่กินพืช.แต่มีฟันเหมือนจระเข้..หมียักษ์.หมูป่าใหญ่ที่มีขนเส้นแข็งจนเอาดาบไปฟันก็ไม่น่าจะเข้า. ทั้งพวกอื่นๆอีกมากชนิด.ซึ่งผมบรรยายรูปลักษณ์ไม่ได้แน่ ,เพราะพวกนี้ออกมาแต่ตอนกลางคืน.มองลงมาจากรังเห็นเป็นแต่เงาดำตะคุ่ม. เคลื่อนไหวไปเงียบๆ.แม้ว่าจะมีบางชนิดเสียงร้องเหมือนคร่ำครวญแปลกๆ.บ้างก็ร้องก้องจนดินสะเทือน.เหตุว่า สิ่งที่เราไม่เห็นน่ากลัวกว่าสิ่งที่เห็น.ผมรู้สึกว่า อสูรสัตว์ยามราตรีเหล่านี้น่าเกรงขามมากกว่าพวกตัวร้ายๆกลางวัน..
    จะเล่าเหตุการณ์หนึ่งที่ฝังใจไม่ลืม.คืนนั้นผมตื่นจากหลับสบายในรังบนแผ่นหิน.กล้ามเนื้อเครียดเคร่ง,สิ่งที่สัญชาติญาณปลุกผมไม่ใช่เสียง..เป็นความเงียบ- เงียบเหมือนแผ่นดินกำลังกลั้นหายใจ..ผมพยายามเงี่ยหูฟัง.ลิงบาบูนไม่เจี้ยกจ้ากแย่งที่นอน.ไฮยีนาสักตัวเดียวไม่หอนเห่า...ไม่มีสิ่งใดส่งเสียงทำลายความเงียบที่น่าสยอง...มี"บางสิ่ง" กำลังผ่านเข้ามาในหุบเขา:ได้ยินแต่เสียงกอหญ้าตวัดเป็นจังหวะเบาๆ จากสิ่งใหญ่โตที่กำลังเคลื่อนผ่าน..ในความมืด ผมเห็นแค่ร่างมหึมาเป็นเงาดำ..ยาวมากกว่ากว้าง..ยาวจนผิดสัดส่วน..มันผ่านขึ้นไปตามช่องเขา.เมื่อมันผ่านพ้นบริเวณไป ราวกับความมืดมิดยามราตรีเองก็ต้องถอนหายใจโล่งอก...เสียงปรกติของรัตติกาลกลับคืนมา..ผมเอนหลังลงนอนอีกครั้ง.รู้แต่ว่า บางสิ่งน่าสยองนักผ่านผมไปตามทางข้างล่างในคืนนี้.
    ผมได้เล่าให้ฟังถึงเรื่องการแย่งถั่วกินกับลิงบาบูน.แย่งชิงอาหารที่ให้ชีวิตมาแล้ว.และเวลาที่ผมจำเป็นต้องเดินใกลออกไปจากที่อาศัย ห่างขึ้น ใกลขึ้นทุกทีทุกที...เรื่องการสำรวจหาอาหารนี้ผมจะเล่าผ่านๆ.เป็นเวลาหลายๆอาทิตย์ผมเดินขึ้นลง เนินลูกแล้วลูกเล่า หาอาหาร.เรื่องของความหิวแสบท้องยามหาไม่ได้,อิ่มเอมท้องกางเมื่อหาได้. สู้หรือหนีจากสัตว์ร้ายสารพัด.นอนบนต้นไม้..บนหินสูงกว้างนอนสบายบ้าง แคบจนเหมือนจะตกลงมาตายก็มาก.ผมหนี. ผมสู้ .ผมฆ่า.ผมเจ็บทรมานจากบาดแผล.โอ,บอกได้ว่าชีวิตช่วงนี้ไม่น่าเบื่อไร้รสชาติ.ไม่เลย.
    ผมใช้ชีวิตตอนนั้นเหมือนคนเถื่อนยุคดึกดำบรรพ์,ไม่มีแม้คนจะพูดด้วย,ไม่มีหนังสืออ่าน.ผ้าจะนุ่งห่มยังไม่มี..มองจากสายตาคนศิวิไลซ์.ชีวิตผมน่าจะเป็นทุกข์ยากลำบากสาหัส..แต่ไม่เลย.ผมเบ่งบานจากการผจญภัยนี้ ความเป็นตัวตน ขยายเติบโตสะพรั่ง.จะบอกให้..ชีวิตปรกติของมนุษย์ คือการต่อสู้อย่างหฤโหดเผ็ดร้อนกับธรรมชาติ..ไปใช้ชีวิตในแบบอื่นทางอื่น นั่นเรียกว่าผิดปรกติ..
    วันและคืนของผมไม่ได้ว่างเปล่า.มันยัดแน่นไปด้วยการสู้กับผองภัย ,ต้องใช้ทุกๆออนซ์ของไหวพริบและพลังกาย.ไต่ลงมาจากรังที่สร้างขึ้นใหม่ที่ใดก็ตาม.ในยามตะวันขึ้น.บอกตัวเองทุกครั้งว่า จะเห็นตะวันตกได้ ก็เพียงด้วยไหวพริบ.กำลังและความรวดเร็วของตนเท่านั้น.เรียนรู้อ่านรหัสของใบหญ้าที่ไหวสบัดแม้เพียงแผ่วเบาทุกใบ.จากพุ่มไม้รกจนมองไม่เห็นด้านหลังทุกพุ่ม.จากก้อนหินที่สูงบังตาทุกก้อน..ทุกทิศทุกสิ่งทุกประการ มีความตายซ่อนอยู่เป็นพันๆรูปแบบ.ผมจะประมาทวางใจไม่ได้.แม้แต่ยามนอน.เมื่อหลับตาลงยามค่ำไม่แน่ใจเลย ว่าจะได้ลืมตาขึ้นมาอีกหรือเปล่าในยามเช้า “ตื่นตัวเต็มที่” คำสามัญนี้แฝงความหมายลึกซึ้ง...มนุษย์เมืองในถิ่นเจริญทุกคน ไม่มีจะเคย"ตื่นตัวเต็มที่"สักคน.พอกหนาไปด้วยเนื้อเยื่อที่ลีบฝอเพราะไม่ได้ใช้งาน.ไฟของชีวิตกระพริบริบหรี่.ผัสสะทั้งหลายมึนชาตายด้าน.ในการใช้สมองไปพัตนาความเป็นอยู่สร้างความสุขสบาย ต้องแลกก้บสิ่งดีๆหลายสิ่งแลกเปลี่ยนไปอย่างน่าเสียดายนัก..
    ผมรู้ดีว่า ครั้งที่อยู่บนโลก,ดวงที่ให้กำเนิด.ตัวเองเหมือนตายไปแล้วหลายส่วน.แต่บัดนี้ ผมมีชีวิต มีเต็มที่เต็มความหมาย..ตั้งแต่ปลายนิ้วมือลงไปตลอดปลายนิ้วเท้า พลังชีวิตลุกโชน.เปล่งปลั่ง,เส้นเอ็นทุกเส้น,กล้ามเนื้อทุกมัด.กระดูกที่ยืดหยุ่นไม่แตกหักเอาง่ายๆทุกชิ้น.ท่วมท้นแน่นปี้ก กระเพื่อม.สพึบพร้อมไปด้วยความกระหายที่จะผจญภัย.ผมใช้เวลาทั้งหมดในการหาอาหารใส่ท้อง. ในการรักษาหนังหัวตัวเองให้อยู่บนหัว..จนไม่มีเวลาไปใช้ครุ่นคิดปัญหายิบย่อย .ซับซ้อน สางไม่ออกแก้ไม่ตก.เพราะมันเกิดจากระบบสังคมที่พัฒนามากจนยุ่งเหมือนเชือกเส้นที่มีปมเป็นก้อนๆ,สำหรับคนจากเมืองสุดพัฒนาที่คิดวางแผนเดินหมาก ไปล่วงหน้าสองชั้นสามชั้นสิบชั้น.คงตำหนิว่า ชีวิตผม"ง่าย-เกินไป" ผมเถียงได้แค่ว่า..ชีวิตผมช่วงนั้น.ภัยอันตราย,การเคลื่อนที่สู้หรือหนีไม่มีพัก,ความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนี้..ขับไล่ความคิดจำพวก "ตามติดสถานะการ.ค้นหาวิญญาณความเป็นตัวเอง”ซึ่งคนเมืองผู้ที่ความปลอดภัยในชีวิต อาหารใส่ปากท้อง,มีคนอื่นหามาเสนอบริการหรือวางให้ซื้อขายจับจ่ายอยู่แล้ว เสพย์ติดเฝ้าเข้ากระดูก,ชีวิตผมตอนนั้น .”คือ"ง่ายเหมือนชีวิตบรรพชน.อยู่กับปัจจุบัน.และคืนวันบนโลกก็ค่อยๆเหมือนฝัน.เลือนลางและห่างใกล...
    เคยแต่ต้องระงับใจกดเก็บสัญชาติญาณ.พลังสู้ชีวิตและโลกที่มันมักจะดันล้นพ้นทำนบกั้นออกมาตลอด..บัดนี้ ผมเป็นอิสระ!กำลังปัญญา กำลังกาย.มีเท่าไรต้องงัดเอามาใช้ให้หมด ใช้เอาชีวิตรอด.และบัดนี้ผมเริงร่ากับชีวิตใหม่ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมา ชื่นบานอย่างไม่เคยคิดมาก่อน.
    ตั้งแต่ออกจากเขตหุบเขาเนินไพร.ผมท่องไปเป็นระยะทางไม่น้อย.ไม่เคยพบร่องรอยของมนุษย์ หรืออะไรที่มันพอจะคล้ายมนุษย์สักรอย..
    เป็นวันที่ผมมองเห็นทุ่งหญ้ากว้างแผ่ออกไประหว่างทิวเขา.อีกแห่งหนึ่ง..ผมก็ได้พบ.พบแบบไม่คาดฝัน เมื่อเดินเข้าริมทุ่งที่เห็นเบื้องหน้า...ทึบไปด้วยต้นไม้ เกลื่อนไปด้วยก้อนหินใหญ่ๆ,ผมมาถึงฉากเหตุการณ์หนึ่ง คล้ายคลึงกับฉากที่น่าจะเคยเกิดเป็นประจำในสมัยโลกยังเถื่อนดิบ..
     ข้างหน้าผม ผืนดินลาดต่ำลงเป็นแอ่งท้องกะทะตื้นๆ.ก้นแอ่งมีหญ้าขึ้นรก.ที่แบบนี้แสดงว่าจะต้องมีตาน้ำ.กลางแอ่งนี้ ..ร่างหนึ่ง มนุษย์พันธุ์เดียวกับที่ผมเคยปะทะในคราวที่มาถึงอัลมูริกใหม่ๆ.คนผู้นี่กำลังสู้กับเสือดาวเขี้ยวดาบ.สู้อย่างไม่น่ามีทางสู้ได้.เพราะผมไม่คิดว่าจะมีมนุษย์คนใด ยืนหยัดประจญกับเสือใหญ่ปานนี้แล้วรอดไปได้.
    ประกายดาบแว้บวับเป็นวงระหว่างสัตว์ยักษ์และเหยื่อ.และเลือดที่เปื้อนตามหนังลายจุด ก็แสดงให้เห็นว่า คมดาบได้ดื่มเลือดมากกว่าหนึ่งครั้ง..แต่ยังไงก็ไม่มีนาน.ไม่ว่าวินาทีใด ผมคิดว่านักดาบผู้นี้ต้องล้มลงใต้ร่างทมึน..
    แม้ว่าจะเดาผลแพ้ชนะออกชัดเจน.ผมก็วิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว.เขาคนนั้นไม่เคยมีบุญคุณอะไรกับผมหน้าก็ไม่เคยเห็นกันด้วยซ้ำ.แต่ความกล้าหาญของเขากระตุ้นความรู้สึกส่วนลึกบางประการในใจผม.ผมเข้าไปอย่างเงียบกริบ.มีดแหลมของผมอยู่ในกำมือแน่น,แม้ขณะที่ผมถึงตัวคู่ผจญ,แมวยักษ์กระโดดตบ..ดาบหลุดจากมือผู้กล้านั้นหมุนปลิวไป.และเขาก็ล้มลงไปใต้ร่างสัตว์มหึมา..และเกือบจะทันที.ผมผ่าท้องเสือเขี้ยวดาบด้วยการแทงและแหวะครั้งเดียว.
    เสียงกรีดร้องก้อง.เสือเขี้ยวดาบสบัดตัวจากเหยื่อ ตะปบผมด้วยกรงเล็บ.ผมกระโดดหลบพ้นออกมา.และมันก็เริ่มลงดื้น,ม้วนหมุนตัวไปตามกอหญ้า.ตะกุยดินด้วยเล็บแหลม.ใส้พุงเครื่องในหลุดออกมาเป็นพวง.
    ภาพนี้แม้แต่คนใจแข็งที่สุดก็คงต้องสังเวชสงสาร.ผมโล่งใจเมื่อมันหยุดดิ้นรนนอนสงบนิ่ง.
    ผมหันไปใส่ใจกับชายคนนั้น.แต่ไม่หวังเลยว่าเขาจะยังมีชีวิต.ตอนเขาล้มลงผมเห็นถนัดว่าเขี้ยวโง้งยาวเหมือนดาบกระชากคอหอยเขาแล้ว.
    เขานอนจมกองเลือดตนเอง.คอแหวะเป็นแผลฉกรรจ์ .มองเห็นเส้นเลือดใหญ่ที่ต้นคอเต้นตุบตับ.แต่ยังไม่ถูกตัดขาด.เล็บเสือฉีกเนื้อแบะออกมาตั้งแต่รักแร้ใต้แขนลงไปถึงสะโพก,ที่ต้นขาก็ถูกฉีกออกเป็นแผลน่าชนลุก;มองไปถึงกระดูกต้นขา.และเลือดไหลพลั่งๆออกมาจากเส้นเลือดทั้งหลายที่ถูกฉีก..แต่ผมต้องประหลาดใจนัก คนนี้ยังไม่ตาย ยังไม่สิ้นสติด้วยซ้ำ.แต่ขณะเมื่อผมสบตา..ประกายตานั้นก็เริ่มหมองลง.ฝ้าฟางไปตามไฟชีวิตที่กำลังมอดดับ,
    ผมฉีกผ้าพันกายของเขาเอามาม้วนพยายามขันชะเนาะห้ามเลือดที่ต้นขา.ซึ่งเริ่มจะใหลเบาลง;แล้วก็ถอยออกมายืนมองอย่างสิ้นหวัง.คนๆนี้กำลังจะตายแน่นอน.ผมตัดสินได้ แม้จะพอเคยพบผ่านความทรหดและตายยากของสัตว์และคนป่าอัลมูริกมาบ้าง.เห็นได้ชัดว่านี่ก็เป็นคนป่า.ดูเถื่อนขนดกดำ แม้จะไม่ดกเท่าคนแรกที่ผมสู้ด้วยในวันแรกที่มาเหยียบอัลมูริก.
    ขณะที่ผมยืนปลงอยู่ที่นั้น.มีบางสิ่งพุ่งเฉียดใบหูไป ลงไปปักฉึกอยู่บนทางลาดข้างหลัง.ลูกธนูยาวดอกหนึ่งปักสะบัดอยู่ที่นั่น.และเสียงตะโกนดุร้าย.ผมหันไป.คนขนดกครึ่งโหล.วิ่งลงมาหาผมอย่างรวดเร็ว วิ่งพลางบรรจุศรลูกใหม่ใส่คันธนูมาพลาง.
    ผมคำรามตามสัญชาติญาณ.โดดหนีเผ่นกลับขึ้นไป..เสียงหวีดหวิวของอาวุธยิงระยะยาวชนิดนี้.ที่เฉียดไปมาช่วยติดปีกให้เท้า.ผมไม่หยุดหันดู.ปีนขึ้นมาถึงปากแอ่ง, ผมก็เผ่นหนีต่อไป.ทั้งโกรธทั้งเกลียด.เห็นชัดแล้วว่า ไม่ว่าคนไม่ว่าสัตว์บนอัลมูริก.ร้ายทั้งนั้น.ไว้วางใจไม่ได้ทั้งนั้น..ต้องท่องจำใส่หัวไว้เลย..เห็นคนเห็นสัตว์ที่นี่ หลบให้ไกลจะดีกว่า..
    ความโมโหหายไปเกือบทันที.กลบลบด้วยปัญหาพิลึกที่เกิดฉับพลัน.ไหงผมถึงฟังคำที่พวกนี้ตะโกนพูดกัน ขณะเมื่อพวกเขาวิ่งใส่เข้าใจ..พวกนี้พูดอังกฤษ..เหมือนคู่ต่อสู้คนแรกที่ใช้อังกฤษ..วิ่งหนีไปขบปัญหานี้ไป..ก็คิดไม่ออก..รู้ละว่า.สิ่งมีชีวิตและไม่มีบนอัลมูริก.ก้อนหิน.สัตว์และพืช มีความคล้ายคลึงกับบนโลก.แต่ก็ยังมีความแตกต่างบ้างไม่น้อย.แตกต่างทั้ง เนื้อหา.คุณภาพ.รูปทรง.หรือการแสดงออก.แต่ดาวสองดวงที่ห่างกันปานนี้ จะวิวัฒนาการ คู่ขนานกันมา.จนเกิดภาษาเหมือนกันขนาดคำและไวยากรณ์เป็นไปไม่ได้..แต่หลักฐานมันแน่ชัดเพราะผมได้ยินกับหู.ส่งเสียงแช่งด่าออกมาแล้วก็สลัดความคิดนี้ไป มันพิลึกแก้ยากเกินจะมาเสียสมองไปคิด..
    บางทีจากเหตุการณ์ครั้งนี้.บางทีได้มาพบ ทุ่งหญ้าไพศาลเบื้องหน้า.เริ่มทำให้ผมกระวนกระวาย และนึกชังถิ่นลูกเนินแสนกันดาลบ้านเก่ารังเดิมที่ผมต่อสู้มาอย่างดุเดือด..ได้เห็นมนุษย์,ถึงรูปร่างจะแปลกแตกต่าง.ทำให้หัวอกผม เริ่มต้องการมีเพื่อน.ความต้องการคนคุยด้วย.เริ่มทำให้ผมเกลียดชังสิ่งรอบตัวเดิมๆ.แม้ไม่เคยหวังเลยว่า ทั้งแผ่นดิน จะพบมนุษย์ที่ไม่ประสงค์ร้าย และยินดีเป็นมิตรได้แม้สักคน.แต่ผมต้องเสี่ยงดู.จะมีภัยอะไรอีกไม่รู้ก็ยอมเสี่ยงดวง.ก่อนที่จะออกจากถิ่นหุบเขาแนวเนิน..อารมณ์แปลกๆ แนะนำให้ผมโกนหนวดเคราที่รกรุงรัง.ซอยผมที่ยุ่งเป็นสังกะตังยาวประบ่า.ตัดซอยด้วยมีดคู่มือ ที่ใช้มาจนบัดนี้ก็ยังคมเหมือนมีดโกนเช่นเดิม.ทำไปทำไมก็บอกไม่ถูก..เว้นแต่สัญชาติญาณมนุษย์ซึ่งเคยอยู่ในถิ่นศิวิไลซ์บอกว่า..จะไปดินแดนใหม่  ต้องทำตัวให้ดูเรียบร้อยสุภาพ หล่อเหลาไว้ก่อน..
    เช้าวันต่อมา ผมลงไปยังทุ่งหญ้าไพศาลที่พบใหม่.ที่ราบกว้างไกลสุดตาไปทางตะวันออกเฉียงเหนือและเฉียงใต้.ผมเลือกไปทางตะวันออก วันนั้นไปไกลหลายไมล์.ไม่เกิดเรื่องอะไร.พบสายน้ำเล็กๆ คดเคี้ยวหลายสาย.ตามฝั่งน้ำกอหญ้าขึ้นสูงท่วมหัวมองไม่เห็นน้ำ..ได้ยินแต่เสียงฟืดฟาดและเสียงฟาดร่างตูมตามของสัตว์ใหญ่อะไรสักอย่าง.ผมอ้อมหลบไปใกล..มารู้ที่หลังว่าระวังตัวไว้แบบนี้ดีแล้ว.
    บุกลึกเข้าไปในที่ราบอีก.ผมมาพบฝูงสัตว์กินหญ้า---คล้ายกับกวางตัวเล็กๆ..และตัวชอบกลพัันธุ์หนึ่งเหมือนหมูท้องป่อง.มีขายาวผิดสัดส่วนเหมือนจิงโจ้.มันใช้ขายาวนี้กระโดดทีหนึ่งไปได้ใกลๆ เหมือนจิงโจ้.ดูตลกจนผมต้องหัวเราะออกมา..ไม่นานก็จำได้ว่า ตั้งแต่มาอยู่อัลมูริกเพิ่งเคยหัวเราะครั้งนี้ครั้งแรก..ไม่นับเสียงคำรามพึงพอใจเหี้ยมๆที่เปล่งออกมา เมื่อล้มคู่ต่อสู้ได้..
    คืนนั้นผมย่ำหญ้าสูงไม่ห่างจากสายน้ำราบลงเป็นที่นอน.อยู่แบบนี้อาจจะถุกสัตว์กินเนื้อคาบไปกิน..แต่คืนนั้นโชคอยู่กับผม,ท่ามกลางเสียงกีกก้องของเหล่าสัตว์ล่าเนื้อ ไม่มีตัวไหนเข้ามาใกล้.ที่พักที่ไร้ความแน่นหนาแห่งนี้..ราตรีนั้นอบอุ่นและรื่นรมย์ แตกต่างจากราตรีหนาวเหน็บระหว่างเนินผาที่ผ่านๆมา.
    วันต่อมาเหตุสำคัญควรจดจำยิ่งก็เกิด.ผมไม่มีเนื้อกินบนอัลมูริก..นอกจากคราวหิวจัดต้องกินเนื้อดิบ.อยากมีไฟใช้.เที่ยวหาก้อนหินแบบที่เอามาตีเกิดประกายก่อไฟไปทั่ว..ไม่ได้สักก้อน..แต่เช้าวันนั้น ผมพบก้อนหินสีเขียวก้อนหนึ่งที่กอหญ้า..มันดูเหมือนหินเหล็กไฟใช้ความใจเย็นอดทนพอควร..ผมตีหินชิ้นนี้กับมีด ก็ได้รางวัลตอบแทนคือประกายไฟ.แวบไปที่หญ้าแห้ง.และเมื่อพัดเป่าอีกไม่นานก็ติดหญ้าแห้งๆลุกลามออกไป กว่าจะดับได้ก็ไม่ง่าย.
    คืนนั้น ผมจุดไฟล้อมตัว.เติมไว้ด้วยหญ้าแห้ง และกิ่งไม้ที่ลุกใหม้ช้า..ผมรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้าง,ในความมืดร่างหมึมาดำทมึน เพ่นพ่านไปมานอกวงไฟ.หูได้ยินเสียงฝีเท้าของสัตว์ใหญ่,เห็นแสงสะท้อนแวววับจากนัยน์ตาสารพัดสี..
    ตลอดเวลาที่ผมท่องไปตามที่ราบนี้ ผมเลี้ยงชีวิตด้วยผลไม้-เลือกเก็บกินชนิดที่เห็นพวกนกมันกิน..รสมันก็น่ากิินอยู่หรอก.แต่ดูจะขาดสารอาหารสร้างความอิ่มท้องและกำลังเหมือนถั่วที่เนินเขา.มองอย่างเสียดายไปที่กวางตัวเล็กๆ.ที่วิ่งไปมา.ตอนนี้ผมมีไฟจะปิ้งย่าง แต่มองไม่เห็นว่าจะได้ตัวมันอย่างไร..
    ตลอดวันผมเดินสำรวจไร้จุดหมายไปตามทุ่งราบ.กระทั่งมาพบเมือง!
         เมืองที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ๋หนาปึก.
    อยากเข้าไปสำรวจใกล้ๆ แต่ไม่ทันแล้ว มาถึงตรงนี้ก็มืดค่ำ...ผมหาที่พักนอนแถวนั้น.ก่อวงไฟ สงสัยอยู่ว่า คนข้างในน่าจะเห็นแสง..และจะออกมาตรวจสอบหรือไม่.
    ความมืดที่โรยเข้ามารวดเร็ว .แสงสลัวสุดท้ายของวัน สาดให้เห็นแต่เพียง.กำแพงหินก้อนใหญ่ๆ สูงและน่าหวาดเกรง.มองจากระยะที่ผมยืน ไม่เห็นสิ่งมีชีวิต.กำแพงนี้หนาเหลือแสน.มีหอคอยทมึน..ทั้งสิ้นก่อด้วยหินสีเขียว.
    ผมนอนหงายมองฟ้ากระดิกเท้าอยู่ในวงไฟ.เหล่าสัตว์ร้ายใหญ่โตบุกหญ้าสวบสาบอยู่รอบนอก.จ้องเข้ามาอย่างดุร้าย. ปล่อยจินตนาการ พยายามนึกภาพผู้ที่อยู่ในเมืองหลังกำแพง..พวกนี้จะเป็นพวกเดียวกับคนเหมือนลิงดุร้ายที่ผมพบมาหรือ?ไม่น่าใช่,หุ่นพวกนั้นมันน่าอยู่ตามถ้ำมากกว่า..พวกที่สร้างสถาปัตย์กรรมแบบนี้ได้ จะต้องมีอารยธรรมสูง.บางทีในนั้นผมจะได้พบผู้เจริญสูงส่งด้วยน้ำใจโอบอ้อม อาจต้อนรับ----เวรละหยุดคาดฝันก่อนดีกว่า ผมชักจะมองด้านดีเกินไปแล้ว....
    ทันใดพระจันทร์ขึ้นพ้นท่องทุ่ง ส่องแสงลงมายังเมืองเบื้องหน้า..ส่องต้องกำแพงทมึนเขียวจนจะดำ..ถมึงทึง..ภาพรวมของสถาปัตยกรรมออกมาทางดุร้ายปานสัตว์และน่ากลัวสุดๆ..ใช่ เมื่อใจผมเคลิ้มเข้าสู่ความหลับ...ความคิดสุดท้ายในคืนนั้นก็คือ ใช่แน่หากคนลิงพวกนั้นจะสร้างบ้านเมืองได้ มันจะต้องออกมาเถื่อนเทอะทะเหมือนเมืองทมึนกลางแสงจันทร์นี่แหละ.

    บทที่02
    เมื่ออาทิตย์ขึ้น ผมก็เดินตรงข้ามทุ่งไป..มองดูโง่เง่าสิ้นดี.ที่ใจเย็นเดินเข้าไปหน้าตาเฉยแบบนี้.เข้าไปในเมืองที่อาจเต็มไปด้วยชีวิตมุ่งร้าย.แต่มาอยู่ที่นี่ ผมเรียนรู้ที่จะเสี่ยงแบบไม่เห็นทางชนะ.อีกอย่างผมอยากเห็นเต็มที่ว่าข้างในกำแพงมีอะไรผมเบื่อชีวิตโดดเดียวเต็มทน..
    ยิ่งเข้าใกล้.ยิ่งมองเห็นความหยาบของการก่อสร้าง.กำแพงดูในระยะใกล้ เหมือนกำแพงป้อมปราการมากกว่ากำแพงเมืองมีหอคอยสูง สร้างจากก้อนหินดำแกมเขียว แต่ละก้อนมหึมาสกัดเอามาอย่างหยาบๆ.ไม่มีความพยายามที่จะไปขัดเกลา ให้มันเรียบ ไม่มีการตกแต่งให้มันงดงาม..ดูรวมๆ สร้างแบบหยาบเถื่อนเหมือนคนสร้างเป็นคนป่าชาวดง รีบไปขนก้อนหินมาเรียงเข้าเป็นกำแพงป้องกันศัตรู.
    ใกล้เข้าไป..ยังไม่เห็นชาวเมืองสักคน.หรือนี่จะเป็นเมืองร้าง..แต่ต้นหญ้าบนถนนดินกว้างที่ทอดไปสู่ประตูเมือง เรียบราบเหมือนโดนเหยียบย่ำซ้ำซาก.ไม่มีพื้นที่ปลูกข้าว ไม่มีสวนไม้ประดับสร้างภูมิทัศน์ มีแต่กอหญ้ารกหนาไปจรดกำแพง..ตลอดเวลาที่ผมเดินข้ามท้องทุ่งมาไม่เห็นอะไรสักอย่างที่พอจะมีเค้าจะเป็นคน.บัดนี้ผมมาอยู่ในร่มเงาของประตูใหญ่..สองด้านประกบด้วยหอคอยสูง .ผมมองเห็นหัวคนหลายหัว ผมรุงรัง..ลับๆล่อๆอยู่บนเชิงเทิน.ผมหยุดยืนตรงนั้น..เงยหน้าขึ้นไป อ้าปากจะร้องทักทาย.แสดงความเป็นมิตร..ดวงอาทิตย์โคจรพ้นกำแพง ส่องแสงเข้าตาผมเต็มที่.เมื่อผมเปิดปาก..มีเสียงเปรี้ยงเหมือนเสียงปืน, ควันขาวพลุ่งออกมาจากหอคอยด้านหนึ่ง.และบางสิ่งกระทบหัวผมแรงพอทำให้หมดสติไป.
    เมื่อผมรู้สึกตัวตื่น..ผมตื่นได้รวดเร็ว แจ่มใส..ไม่มีการมึนงง ปวดหัว..พลังการฟื้นตัวตอนนี้ผมมันยอดอะไรปานนี้.ตัวเองนอนอยู่บนพื้นหินในห้องโถงกว้าง.ผนัง เพดาน และพื้นเป็นหินสีเขียวก้อนใหญ่ อย่างเดิม..แสงแดดส่องผ่านเข้ามาถึง ช่องแสงมีซี่กรงกั้นสูงขึ้นไป.ส่องกระจ่างให้เห็นว่า ห้องนั้นว่างเปล่าไม่มีเครื่องเรือนใดๆ นอกจากม้านั่งตัวมหึมา ต่อขึ้นอย่างหยาบๆ.
    มีโซ่เส้นใหญ่มัดผมไว้ ล๊อคด้วยกุญแจรูปแปลก..ปลายโซ่ไปผูกติดที่วงเหล็กฝังแน่นในกำแพง.คนเมืองนี้จะสร้างอะไรจะใช้อะไร มันใช้แต่วัสดุใหญ่ๆ..
    ยกมือคลำหัวตัวเอง.มีผ้าพันแผลสัมผัสดูเหมือนผ้าไหม.หัวผมเต้นตุบๆ เห็นได้ว่า.ลูกอะไรที่ยิงใส่ผมจากบนเชิงเทิน เพียงเฉียดหัวผมไป.ทิ้งรอยถลอกไว้บนหนังหัว และส่งผมล้มหลับพับไป.ผมคลำหามีดคู่มือ ,แน่นอนละ มันไม่มีแล้ว.
    ผมแช่งด่าหยาบคาย.ตั้งแต่มาเหยียบอัลมูริก.ชีวิตมีแต่บัดซบไม่มีดี..แต่อย่างน้อยจนบัดนั้นถึงบัดนี้..ผมยังมีอิสระ.ตอนนี้มาตกอยู่ในกำมือของตัวอะไรที่พระเจ้าเท่านั้นจะบอกได้.แน่นอนอย่างเดียวว่า มันมุ่งร้าย.แต่ผมไม่เสียความมั่นใจในตัวเอง..ไม่หวั่นเกรงมากมาย..ตกใจวูบหนึ่ง..เป็นธรรมดาของสัตว์ป่าทั่วไป ที่ถูกล่ามโซ่กักขัง.ความใจเสียนี้ ไม่นานก็ถูกกลบลบด้วยความโมโหเลือดขึ้นหน้า..ผมโดดลุกขึ้นยืน.โซ่ที่ล่ามยาวพอให้ผมลุกยืนๆได้.เริ่มดึงและพยายามหักโซ่
    ระหว่างที่ผมสำแดงความเดือดดาลป่าเถื่อนที่ดูจะไร้ผล มาหักโซ่..มีเสียงเบาๆ ด้านหลัง ผมหันขวับไป.แยกเขี้ยวคำราม กล้ามเนื้อเครียดเกร็งพร้อมจะทำร้ายหรือป้องกันตัวก็ได้ทั้งนั้น.เมื่อมองเห็นเจ้าของเสียงชัดเลือดในกายก็เย็นเฉียบ ที่ประตูหญิงสาวคนหนึ่งยืนมองผมอยู่..เว้นแต่เครื่องนุ่งห่ม.หล่อนไม่แตกต่างจากสตรีอื่นในโลกที่ผมจากมา..เว้นแต่ร่างอ้อนแอ้นนั้น ดูว่องไวปราดเปรียวกว่าหญิงมนุษย์..ผิวขาวเหมือนหินอ่อน.ผมดำสนิท.สวมเสื้อผ้าบางๆ ไม่มีแขน ,คอเสื้อคว้านลึกต่ำ เปิดให้โลกเห็นเต้าทั้งสองสีเหมือนงาข้าง มากกว่าจะไปปิดบัง..อาภรณ์นี้รัดด้วยเข็มขัดรอบเอวบาง.สวมกระโปรงชายสูงเหนือเข่า.รองเท้าแตะหนังนุ่มนิ่ม สวมที่เท้าคู่เล็กๆ.หล่อนยืนนิ่งมองสีหน้าหวาดเกรง..นัยน์ตาดำกลมโตเบิกกว้าง.ปากแดงสีกุหลาบเผย.เมื่อผมหันไปหา และจ้องด้วยความชัง.หล่อนผงะกลับ อุทานด้วยความประหลาดใจหรือไม่ก็กลัว.วิ่งหนีไปอย่างเงียบกริบ.
    ผมมองตาม..หากผู้หญิงเมืองนี้ เป็นเหมือนเธอ.ความรู้สึกที่ผมมีต่อสถาปัตย์กรรมของนครนี้ก็ผิดหมด ,สตรีคนนี้ ต้องเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนโยนและมีอารยธรรมสูงส่ง..ถึงเครื่องนุ่งห่มจะเป็นแบบคนโบราณไปบ้าง.
    ขณะที่ยืนนึกอยู่.หูก็ได้ยินเสียงฝีเท้า.ได้ยินการโต้เถียงเสียงห้าวกระด้าง.และนาทีต่อมา มนุษย์กลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในห้อง.พวกเขาหยุดชะงัก เมื่อเห็นผมฟื้นแถมลุกยืนได้.ผมก็แปลกในไม่น้อยที่เห็นรูปลักษณ์พวกนี้ เพราะยังคิดถึงสาวน้อยที่เพิ่งวิ่งจากไป.เพราะมันก็เผ่าเดียวแบบเดิมกับที่พบมาสู้มา..ตัวใหญ่,ขนดก,ดุร้าย.เบ้าตายื่นหน้าผากยุบเหมือนหน้าลิง.ผมเห็นว่า บางคนขนสีเข้มกว่าเพื่อนคนอื่นบ้าง.แต่ทุกคนดำทมึน.ดุดัน.ผลรวมสรุปได้ทันทีว่า..นิสัยพวกนี้ดุร้ายกาจ.เพราะไม่ว่าจะมองตรงไหนความเถื่อนโหดสะท้อนออกมาทั้งนั้น---บอกทางตาสีเทาเย็นชา,สะท้อนออกทางริมฝีปากที่แสยะแยกเขี้ยว.สะท้อนออกทางเสียงสำเนียงหบาบกระด้างระคายหู...
    ทุกคนพกอาวุธ.เมื่อเขามองพบผมลุกยืนได้ ทุกคนเคลื่อนมือลงกุมด้ามดาบ.ยืนหน้าเข้ามาเหมือนลิงใหญ่
    “ท้าก!"คนหนึ่งพูด หรือคำรามมากกว่า..เสียงพูดพวกนี้กระชากเหมือนทะเลตอนลมแรง--”มันฟื้นได้ว่ะ"
    “เจ้าคิดว่า มันพูดและฟังภาษามนุษย์ออกไหม?” คนหนึ่งถามเสียงยังกะฟ้าคำราม
    ผมจ้องถมึงทึงไปที่กลุ่มนี้.เรื่องอัศจรรย์เกิดมีอีกแล้ว,บัดนี้ผมได้ยินชัดว่า เขาไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ.
        ผมช็อคไปทีเดียว .พวกนี้ไม่ได้พูดภาษามนุษย์โลก..แต่ผมฟังออก ฟังรู้เรื่อง เว้นแต่บางคำที่หาคำแปลคล้ายคลึงไม่ได้.แล้วก็ไม่พยายามไปทำความเข้าใจหาเหตุและผลของเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้เรื่อง่นี้....ตอบผู้พูดคนหลังออกไป,
    “ข้าฟังและพูดภาษามนุษย์ได้" ผมคำราม..”พวกแกเป็นใคร?ที่นี่คือเมืองอะไร?ยิงข้าทำไม?เอาโซ่มาล่ามข้าทำห่าอะไร,?”
    “มันพูดได้ ท้ากมาดูเอง" คนหนึ่งว่า..”ข้าบอกแล้ว.มันต้องมาจากนอกวงคาด"
    “มาจากนอกตูดข้าน่ะซี.อีกคนพูดแซงหยาบๆ "มันเป็นตัวประหลาด.หนังเกลี้ยงไร้ขน,ผิดปรกติจนไม่น่าเกิด.หรือน่าจะถูกหักคอทิ้งไปตอนออกจากท้องแม่"
    “ถามมันซิ มันไปได้มีดของ มือบดกระดูก มาจากไหน" อีกคนว่า..
    “แกไปโขมยมีดเล่มนั้นมาจากโลการ์หรือ?” เขาซักถาม
    “ข้าไม่เคยโขมยของใคร!”ผมตะคอกตอบ.ตอนนี้ชักรู้สึกเหมือนสัตว์ป่าในกรง ที่กลุ่มคนดูนอกกรงเอาไม้แหย่ยั่วให้โมโห.และโทสะของผม,เมื่อมาอยู่บนดาวเถื่อนดวงนี้ เกิดแล้วดับยาก.
    “ข้ายึดมาจากเจ้าของมีด”."ได้มาจากการต่อสู้ที่ยุติธรรม" ผมเพิ่มเติม..
    “แกฆ่ามันรึ?” พวกมันถามเซ็งแซ่ ท่าทางไม่เชื่อ
    “ไม่" ผมคำราม "ตอนแรกเราสู้กันด้วยมือเปล่าๆ,จนมันจะชักมีด ข้าก็ฟาดมันสลบ"
    พวกนั้นตะโกนพร้อมกันเสียงขรม.ผมนึกว่าเขาโกรธแค้นสิ่งที่ผมทำ.ไม่ใช่! นี่เป็นการโต้เถียงออกความเห็นของพวกนี้ ตามปรกติ...
    “ข้าบอกแล้ว มันโกหก" เสียงคนหนึ่งดังเหมือนเสียงวัวร้อง กลบคนอื่น. “ใครก็รู้ โลการ์ มือบดกระดูก ไม่มีทางโดนถล่มด้วยน้ำมือตัวไม่มีขนตัวนี้ แถมถอดผ้านุ่งและยึดมีดมาได้..กอร์ หมีมนุษย์นี่แหละ พอจะฟัดโลการ์ได้ คนอื่นไม่มีทาง.”
    “ก็จริง แต่มันพกมีดของโลการ์" บางคนชี้ให้เห็น
    การโต้เถียงเสียงเหมือนจะฆ่ากันเริ่มขึ้นอีก..มีสารพัด..ตะโกนด่า..ชูกำปั้นใส่หน้ากัน..แต่ละคนเอื้อมมือไปกุมด้ามดาบ.เสียงตะโกนท้าทายให้มาฟันกันก็มีขรม.
    ผมเฝ้าดูว่าเดี๋ยวมันคงฆ่ากันแน่ๆ .และแล้ว คนหนึ่งท่าทางมีอำนาจ ชักดาบ เอาทางด้ามฟาดลงที่ม้านั่งดังปังๆ.กลบเสียงโต้เถียงคนอื่นๆ
    “หุบปาก!หุบปาก ใครเปิดปากข้าจะผ่าหัว" เสียงโต้เถียงค่อยเบาลง พรรคพวกคนอื่นหันมาจ้องมองคนนี้อย่างมุ่งร้าย.คนนั้นพูดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น. “มีดน่ะช่างหัวมันเหอะ..ไอ้นี่อาจจะมาเจอโลการ์นอนเพลิน แล้วเอาหินทุบหัว..อาจแอบโขมยมันมา..อาจเก็บได้...โลการ์มันเป็นพ่อเราหรือ? ถึงได้ห่วงหนังหัวมันนัก?”
    เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน.เห็นได้ชัดว่า โลการ์คนนี้จะเป็นใครก็เถิดคนแถวนี้ไม่ชอบขี้หน้ามันเท่าไร.
    "ปัญหาตอนนี้คือ เราจะทำอย่างไรกับสัตว์ตนนี้?ต้องเรียกประชุมและออกเสียง.ท่าทางเนื้อมันกินไม่อร่อยนัก.” พูดยิ้มๆ .คงจะแสดงว่า นี่พูดตลกร้ายเท่านั้น.
    “ถลกหนังเอามาทำรองเท้าพอจะได้" อีกคนออกความเห็น คราวนี้สีหน้าจริงจัง มันอยากได้หนังผมจริงๆ
    “นิ่มไปว่ะ" อีกคนค้าน
    “ตอนเราหามมันเข้ามา เนื้อหนังมันไม่นิ่มนะ แข็งยังกะเหล็กแหนบ"
“ถุ้ย" คนอยากถลกหนังผมถ่มถุย. “จะทำให้ดูว่าเนื้อมันนิ่มแค่ไหน..ดูนะข้าจะเฉือนเนื้อมันออกให้ดูสักชิ้นสองชิ้น" เขาชักมีด ก้าวเขาหาผม คนอื่นเฝ้ามองอย่างสนใจ
    ตลอดเวลาโทสะของผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ห้องทั้งห้องเหมือนมัวไปด้วยหมอกสีเลือด.ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่า ไอ้นี่มันจะเฉือนเนื้อผมทดลองความคมมีดมันจริงๆ.ผมเป็นบ้าไปฉับพลัน บ้ากระหายเลือด..ผมหมุนตัวไปคว้าโซ่ที่ล่าม เอาพันแขนให้จับถนัดๆย่อตัวกดเท้าไปที่กำแพงและพื้นหินกระชากโซ่ด้วยกำลังทั้งหมด..กล้ามเนื้อทั่วตัวแข็งเป็นก้อน.เหงื่อออกมาท่วมกาย.และแล้ว เกิดเสียงเปรี้ยงสดใสศิลาแกร่งยินยอมแพ้.ห่วงร้อยโซ่ที่ฝังอยู่ที่พื้น หลุดออกมาทั้งยวง.ผมหงายหลังลงไปกลางกลุ่มพวกนั้น.มันแหกปากร้องขรม แล้วโถมลงมาทั้งกลุ่ม..
    ผมคำรามตอบด้วยความพอใจที่หลุดออกมาได้.ดันกายขึ้นเริ่มแจกกำปั้นที่หนักเหมือนค้อนปอนต์ ตั้งแต่ต้นจนจบ มันเหมือนคนเมาเหล้าตะลุมบอนกันในโรงเหล้า.พวกเขาไม่ชักมีดแทงผม.พยายามเอาชนะด้วยจำนวน.เรากลิ้งจากด้านหนึ่งของห้องไปอีกด้าน.จับกระชาก,ดิ้นรน.แช่งด่า,ขุดคำหยาบทั้งหลาย..เสียงร่างกายแน่นกล้ามปะทะกันตุ้บแล้วตั้บเล่า.นี่แหละเรียกได้ว่าตลุมบอนแบบคนบ้า.ครั้งหนึ่งเหมือนๆผมจะเห็นหน้าหญิงสาวคนหนึ่งแอบมองเข้ามาที่ประตู.หน้าตาคล้ายๆสตรีสาวคนเดิม.แต่ตอนนี้บอกอะไรชัดไม่ได้.ปากผมคาบหูไอ้คนหนึ่งไว้.เหงื่อก็เข้าเต็มตา ดาวระยิบระยับจากการโดนฟาดที่จมูก..มีบุรุษทมึนหลายร่างทับอยู่สายตาผมไม่ค่อยดีนัก.
    ยังไงก็เถอะ..ผมสร้างความบรรลัยได้ไม่เลวนัก.หูฉีก,จมูกหัก.ฟ้นกระเด็นว่อน จากกำปั้นแข็งเหมือนเหล็กของผม.เสียงครวญของคนเจ็บไพเราะหูที่โดนตะบันหลายโครมของผม,ไอ้โซ่เวรเส้นนั้น ที่พันตามเอว และคอยทำให้ผมสะดุด,ไม่นานเลย ผ้าพันแผลที่หัวก็หลุด.แผลที่หัวเปิดฉีกออกอีก.ไหลลงปิดตา เมื่อมองไม่เห็นผมเริ่มเปะปะและโซเซ .กลางเสียงหอบหายใจ พวกเขาดึงผมลงจนได้ ล่ามโซ่เส้นใหม่ทั้งที่ขาที่แขน.
    ทั้งกลุ่มผละออกไป บ้างก็ลงนอนแผ่บ้างก็ลงนั่ง เจ็บปวดและหมดเรี่ยวแรง.ผมร้องด่าเสียงขรม.มองสำรวจอย่างสะใจไปที่พวกเขา, ไปตามจมูกที่ยุบเลือดย้อย.เบ้าตาเขียวดำ.หูฉีกแหว่ง ,ฟันที่กระเด็นออกมาเกลื่อน.แล้วก็หัวเราะดุๆออกมาก๊ากใหญ่ เมื่อคนหนึ่งส่งเสียงแช่งดาผมว่าหักแขนเขาซะแล้ว.ส่วนคนหนึ่ง หลับสนิท.ต้องปลุกด้วยการเอาน้ำเย็นเหยือกใหญ่สาดหน้า.ไม่รู้เลยว่า น้ำเหยือกนั้นผู้หญิงสาวคนเดิมเอามาตามคำสั่งเสียงเขียว.
    “แผลมันเปิดอีกแล้ว" คนหนึ่งชี้.”เลือดจะออกจนมันตาย"
    “อยากให้มันตาย" คนหนึ่งนอนตัวงอก่ออยู่ที่พื้นชี้มาที่ผม . “มันทำท้องข้าแตก.ข้ากำลังจะตายว่ะ.เอาเหล้ามาให้ข้าทันที"
    “ถ้าแกจะตาย แกก็คงไม่หิวเหล้าหรอก" คนหนึ่งท่าทางเป็นหัวหน้ากลุ่ม ตอบแบบไร้เยื่อใย.ถ่มฟันที่หักออกมา.”พันแผลให้เขาใหม่ซิ,อัครา"
    อัครา เดินกระโผลกกระเผลกเข้ามา อย่างไม่ค่อยเต็มใจ
    “อยู่นิ่งๆนะโวีย" เขาคำราม
    “อย่าเข้ามา" ผมตอบ "ไม่ต้องการความช่วยเหลือว่ะแตะต้องตัวข้า แกเจ็บ"
    เขาบีบหัวผม กระแทกลงพื้นหินอย่างไม่เบามือ.เขาพลาดแล้ว.ผมงับนิ้วเขาแน่น เขาแหกปากร้องดังหูแทบแตก..ต้องอาศัยคนอื่นมางัดกรามผม ถึงดึงนิ้วออกได้.เขาคำรามหนักๆ แล้วก็เตะผมอย่างแรงที่หัว.เตะพลั่กนี้ส่งหัวผมไปฟาดขาเก้าอี้ใหญ่อย่างแรง.ผมสิ้นสติไปอีก
    เมื่อผมคืนสติอีกครั้ง พวกเขาเปลี่ยนผ้าพันแผลที่หัวให้ใหม่..และโซ่ใหญ่กว่าเดิม ล่ามมือ ล่ามเท้าปลายโซ่ไปร้อยไว้กับวงเหล็กวงใหม่ ที่ดูแน่นกว่าเดิม. มันเป็นยามราตรี .ผมมองเห็นท้องฟ้าประดับดาวทางช่องหน้าต่าง.
 ที่ช่องหนึ่งบนผนัง มีคบไฟส่องสว่างปักอยู่.ชายคนหนึ่งนั่งจ้องผมเขม็งอยู๋บนเก้าอี้.ที่บนโตีะข้างตัวเขามีชามใหญ่ทำด้วยทอง.
    “สงสัยอยู่ว่า แกจะรอดจากตีนนั้นไหม" เขาพูดออกมา
    “ต้องหนักกว่านั้นเยอะ ถึงจะฆ่าข้าได้" ผมคำราม.“แกมันก็แค่พวกอ่อนแอต้องรุมเป็นฝูง.ถ้าหัวข้าไม่มีแผล.มือเท้าไม่ติดโซ่ ข้าโค่นแกได้ทั้งกลุ่มแหละ"
    คำดูแคลนของผม ไม่ยักทำให้เขาโกรธ ได้แต่ทำให้เขาพิจารณาผมใหม่อย่างสนใจ.มือคลำก้อนปูดลูกใหญ่ที่ขมับเลือดเพิ่งจะแห้ง..และตั้งคำถาม. “แกเป็นใคร?มาจากไหน?
    “ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแก" ผมตะคอก
    เขายกใหล่.ยกชามขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างชักดาบ
    “ในเมืองโคธ เราไม่ปล่อยให้ผู้ใดหิวโหย" เขาว่า,  “ข้าจะเอาชามอาหารนี้ไปวางข้างตัวแก.กินได้ตามสบาย,แต่เตือนไว้ก่อน ถ้าแกฟาดหรือกัดข้า.ข้าจะฟัน"
    ผมแยกเขี้ยวแต่ไม่พูดอะไร.เขาก้มตัวลงวางชาม แล้วถอยกลับอย่างเร็ว.อาหารที่เขานำมา เป็นตัมจืดเนื้อแบบหนึ่ง รสชาติไม่เลว .ปริมาณมากพอดับหิวได้..ท้องอิ่ม ผมก็ชักอารมณ์ดี,เขาคนนั้นก็ถามคำถามซ้ำ
    “ข้าชื่อ เอสู เคอร์น,เป็นคนอเมริกัน.จากดาวที่ชื่อ โลก"
    เขาพยายามทำความเข้าใจคำตอบนี้พักใหญ่..แล้วถามต่อ "ดินแดนที่ว่า อยู่เลย วงคาด ออกไปหรือ?”
    “ข้าไม่เข้าใจแฮะ" ผมว่า
    เขาสั่นหัว "ข้าก็ไม่เข้าใจแกเหมือนกัน" แต่ถ้าแกไม่รู้จัก "วงคาด"แกก็ไม่ได้มาจากดินแดนนอกวงคาด.
    ช่างมันเหอะมันเรื่องนิยายทั้งนั้น ดินแดนนอกวงคาดนี่ไม่มีจริงหรอก.แต่แกมาจากไหนเล่า?พวกเราเห็นแกเดินมาจากที่ราบ.ไฟที่พวกเราเห็นเมื่อคืน แกก่อรึ?”
    “คงใช่"ผมตอบ "ข้าอาศัยอยู่ที่ิแถบเนินเขาทางตะวันตกหลายเดือนมาแล้ว. เพิ่งลงมาที่ราบทางนี้ไม่กี่อาทิตย์"
    เขาจ้อง และจ้องผม
    “อยู่ที่เนินเขา ลำพังคนเดียว.มีแค่มีดเล่มเดียว?”
    “เออ แปลกไง? ผมอยากรู้
    เขาสั่นหัวเหมือนไม่เชื่อคำพูดผม..”ถ้าเป็นสองสามชั่วโมงก่อน ข้าต้องว่าแกโกหก แต่ตอนนี้ ชักไม่แน่ใจ"
        “นี่เมืองอะไร?” ผมถาม
    “เมืองโคธ,เมืองของเผ่าโคธ. เจ้าเมืองของเราชื่อ โคธสุท มือทุบกระโหลก" ข้าชื่อ แท๊บ ตีนเร็ว,ข้ารับหน้าที่เฝ้าแกขณะที่เหล่านักรบเข้าที่ประชุม"
    “ประชุมเรื่องอะไร" ผมซัก.
    “ประชุมว่าจะทำอย่างไรกับแกดี..เขาอภิปรายกันมาตั้งแต่เย็น .ผลยังไม่ลงเอย"
    “ ไม่ลงเอยที่เหตุใด?”
    “คือ.” เขาตอบ "ส่วนหนึ่งอยากจะแขวนคอแก.อีกส่วนหนึ่งอยากยิงเป้า"
    “ ผลตัดสินแบบว่า ปล่อยข้าไป คงไม่มีมั๊ง" ผมถามประชด
    “โอ อย่าซื่อใสนักเลย" เขาตัดพ้อ
    ในนาทีนั้น มีเสียงฝีเท้าเบาๆเข้ามา.และหญิงสาวคนที่ผมเห็นครั้งก่อน ก้าวเข้ามาในห้อง.แท๊บมองหล่อนอย่างไม่พอใจ
    “เข้ามาทำไม.อัลตา?” เขาอยากรู้
    “มาดูคนแปลกหน้าคนนี้อีกครั้ง" หล่อนตอบด้วยเสียงหวานแผ่วเบา."ข้าไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อนเลย,ผิวเขาราบเรียบเหมือนผิวข้า.ใบหน้าก็ไม่มีหนวดเครา,แววตาเขาประหลาดล้ำ.เขามาจากไหนหรือ?”
    “เขาว่าเขามาจากเนินทางตะวันตก"แท๊บตอบ.หล่อนเบิกตากว้าง "โอย.ไม่มีมนุษย์ใด มีชีวิตรอดได้ที่เนินตะวันตก.มีแต่สัตว์ร้าย.ถึงจะอยู่ได้.เขาเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งหรือ?พวกเราเล่าว่าเขาพูดภาษาคนได้"
    “พูดได้" แท๊บคำราม.คลำก้อนปูดที่หัว.” ทุบกระโหลกคนก็ได้ แรงแทบสมองทะลัก.ใช้แค่มือเปล่า.กำปั้นมันแข็งและหนักยังกะกระบองเหล็ก.อย่าเข้าใกล้มัน"
    “ไอ้นี่มันผีบ้าจากนรก.ถ้ามันคว้าตัวเจ้าได้ มันฉีกแกเป็นฝอยๆ ไม่เหลือเนื้อให้แร้งกากิน"
    “ ข้าไม่เข้าใกล้เขาหรอกน่า" หล่อนยืนยัน" แต่แท๊บ.เขาดูไม่น่ากลัวอะไรเลย.ดูตาที่มองข้าสิ.ไม่มีแววเคียดแค้น.พวกเราจะทำอะไรกับเขา?”
    “เผ่ายังไม่ตัดสิน..บางทีจะให้มันสู้กับเสือเขี้ยวดาบด้วยมือเปล่า"
    “โอ แท้บ.เขาไม่ได้ทำอันตรายอะไรเราเลย.เขาเข้ามาที่เมือง ตัวคนเดียว มือเปล่า..นักรบยิงเขาโดยไม่ได้เตือน..แล้วตอนนี้...”
    แท้บมองหญิงสาวอย่างรำคาญ "ถ้าข้าไปบอกพ่อเจ้า ว่าเจ้าพูดเข้าข้างมัน...”
    เห็นได้ชัดว่า คำขู่นี้ น่ากลัวนัก หญิงสาวตัวงอ.หน้าซีด
    “อย่าบอกพ่อนะ"หล่อนอ้อนวอน "และก็ดุเดือดขึ้นอีก "ไม่ว่าไงก็เหอะ..มันป่าเถื่อนสุดๆถ้าจะทำเขาอย่างนั้น..ให้พ่อเฆี่ยนข้าจนเลือดหยดถึงเท้า ข้าก็จะพูดอย่างที่พูด"
    พูดจบหล่อนก็วิ่งแผลวออกไปจากห้อง
    “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” ผมถาม
    “อัลตา ลูกสาวของ ซาล มือขว้าง"
    “ซาล คือใคร?”
    “คนหนึ่งที่แกฟาดซะสาหัส เมื่อกี้"
    “ไงนะ? แกว่า ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นลูกสาวไอ้คนเหมือนลิงคนนั้น....” ผมหาคำพูดไม่ออก
    “หล่อนเป็นไง?” เขาอยากรู้ "ก็เหมือนๆพวกผู้หญิงเผ่าเราคนอื่น"
    “แกหมายความว่า ผู้หญิงทุกคนมีรูปลักษณะแบบนั้น. และผู้ชายทุกคนเหมือนแก?”
    “เออ.แตกต่างกันแต่ส่วนเล็กๆน้อยๆ.เผ่าแกไม่ได้เป็นแบบนี้หรือ? หรือแกเป็นตัวประหลาดมีตัวเดียว"
    “โว้ย.อยากจะ..” ผมออกปากด้วยอัศจรรย์ใจ ,นักรบอีกคนก็เข้ามาพอดี
    “ ข้ามาเปลี่ยนเวรแก แท๊บ,สภานักรบ ลงมติว่า รอให้ โคธสุทกลับมาพรุ่งนี้ค่อยตัดสิน.”
    แท๊บกลับออกไป นักรบคนใหม่หย่อนกายลงนั่ง.ผมไม่พยายามไปคุยกะเขา.สับสนไปด้วยสิ่งที่เรียนรู้ใหม่,และชักง่วงนอน ก็เอนกายลงนอนหลับสนิทไป.
    คงจะเป็นผลจากที่ผมเจอทั้งมือทั้งตีนมาหลายพลั่ก.ไม่เช่นนั้นผมคงจะสะดุ้งตื่่นเต็มตาระวังตน.เมื่อรู้สึกว่า มีมือหนึ่งมาแตะเส้นผม.ตายังลืมไม่ขึ้นมองผ่านเปลือกตามาเห็นลางๆเหมือนภาพในความฝัน. ใบหน้างดงามของสตรีสาคนหนึ่งก้มลงมองผมใกล้ๆ.นัยน์ตาดำซึ้ง เบิกกว้างด้วยความอัศจรรย์แกมหวาดกลัว.ริมฝีปากอิ่มสีชมพูเผยอ.กลิ่นหอมจากเส้นผมดำสลวยรวยรินมาเข้าจมูก,หล่อนลูบใบหน้าผมแล้วก็หดมือกลับ หายใจลึกเหมือนตกใจที่ทำลงไป.ยามหลับกรนคร่อกๆอยู่ที่ม้านั่ง,คบไฟใหม้จวนหมดเหลือแสงริบหรี่..นอกหน้าต่าง ดวงจันทร์กำลังลับลง.ผมจำได้แค่นี้ก่อนจะหลับไปอีกครั้ง.ใบหน้างดงามนั้นตามไปหลอกหลอนผมในฝัน..
 

   บทที่03
    ผมตื่นขึ้นแมื่อแสงแรกของอรุณส่องเข้ามา..เวลาแบบที่เขาจะมาเอานักโทษไปประหาร.นักรบคนหนึ่งยืนค้ำหัวอยู่ผมรู้ว่าต้องเป็นโคธสุท มือบดกระโหลก
    เขาสูงกว่าคนอื่น ---ผอมกว่าด้วย.ผอมกว่าทุกคน.ความผอมนี้ทำให้ใหล่ดูกว้างมาก..ตามหน้าและเนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลเป็น..ผิวและขนสีดำ.ดำมาก.คนนี้มีอายุแล้ว.ลักษณะบ่งบอกถึึงความน่าสพรึงกลัวป่าเถื่อน.
    เขายืนมองลงมาดูผม มือกุมด้ามดาบเล่มใหญ่ .เครียดและเฉยเมย..
    “เขาบอกข้าว่า แกเอาชนะ โลการ์แห่งทูกรา ในการสู้ตัวต่อตัว" เขาพูดหลังจากมองอยู่นาน เสียงเขาก้องกังวาลเหมือนคนพูดในถ้ำ เสียงเหมือนปีิศาจมากกว่าคนแปลกผมบรรยายไม่ถูก..
    ผมไม่ตอบนอนมองหน้าเขาเฉย.ประหลาดใจไปกับลักษณะดุร้ายของคนนี้ ส่วนหนึ่งอีกส่วนผมชักจะโมโหเดือดอีกแล้ว.
     “ทำไมไม่ตอบ?” เขาถามเสียงเหมือนฟ้ากระหึ่ม
    “ขี้เกียจฟังใครว่าข้าโกหกอีกแล้ว" ผมตะคอกตอบ
    “เข้ามาในเมืองโคธทำไม?”
    “เพราะข้าเบื่อที่จะใช้ชีวิตคนเดียว.กลางสัตว์ป่า.เข้ามาก็เพื่อจะหาเพื่อนที่เป็นคน จะดีกว่าอยู่กับเสือดาวและบาบูน.ข้าคิดผิด"
    เขาลูบหนวดสากแข็ง
    “เขาว่าแกสู้เหมือนเสือบ้า.แท๊บบอกว่า แกไม่ได้มาที่ประตูแบบศัตรู.ข้ารักคนกล้า.แต่เราจะทำอย่างไรได้? ถ้าเราปล่อยตัวแก.แกจะเกลียดชังพวกเราจากเรื่องที่เกิด..ความโกรธของแกมันมหาศาลเกินที่จะปล่อยอิสระ.”
    “ทำไมไม่รับข้าเข้าเผ่า?” ผมถามเรื่อยเปื่อย
    เขาสั่นหัว "เราไม่ใช่ยากาเราไม่มีทาส"
    “ข้าก็ไม่ยอมอยู่อย่างทาส" ผมคำราม "ให้ข้าเป็นคนหนึ่งในเผ่า.ข้าจะล่าสัตว์และสู้ศึกไปกับพวกเจ้า,ข้ามีกำลังต่อสู้ได้ไม่แพ้นักรบของเจ้าคนใด"
    ในทันที ร่างหนึ่งก้าวผ่านโคธสุทเข้ามา" ไอ้คนนี้ตัวใหญ่กว่าทุกคนที่ผมพบมาในโคธ.ความสูงน่ะไม่สูงกว่า แต่ ความกว้างมากกว่ามหาศาลขนรุงรังมากกว่าด้วยขนสีแปลกกว่าเหมือนสีสนิมเหล็ก
    “นั่นต้องพิสูจน์" เขาคำราม "ปล่อยมันออกมาโคธสุท ! ข้าได้ยินนักรบชื่นชมกำลังและฝีมือต่อสู้ของมันจนจะอ้วกแตกแล้ว,ถอดโซ่ให้มันแล้วให้มันมาฟัดกับข้า"
    “คนนี้บาดเจ็บไม่น้อย กอร์" โคธสุทตอบ
    “งั้นก็รักษาให้มันหายสนิท.” นักรบผู้นั้นแนะนำ กางแขน แบบมวยปล้ำ
    “กำปั้นมันยังกะค้อน" อีกคนเตือน
    “ท้าก" กอร์ตะโกนลั่น.ตาขวาง.ส่ายมือขนดกไปมา..”รับมันเข้าเผ่าโคธสุท..ให้มันผ่านการทดสอบ..ถ้ามันรอด..ท้าก..ถ้ามันรอดมันก็สมควรจะเป็น คนเมืองโคธ!”
    โคธสุท คิดอยู่นานและตอบ "ข้าจะคิดดู"
    ตอนนี้เรื่องก็จบไว้ก่อน.นักรบเดินตามโคธสุทออกไป.แท้บออกไปเป็นคนสุดท่าย.เมื่อถึงประตู เขาหันกลับมา ทำท่าทางซึ่งผมแปลออกว่าคือการให้กำลังใจ..คนแปลกประหลาดที่นี่ เหมือนๆจะไม่ไร้ความเมตตา และความเป็นมิตรเสียทีเดียว.
    วันคืนผ่านไป ไม่มีเหตุตื่นเต้น.แท๊บไม่กลับมา.นักรบคนอื่นนำอาหารและน้ำมาให้ผม.มาทำแผลที่หัวให้อย่างดี.ผมยอมให้พวกเขาพันผ้าใส่ยา..ทำกับผมเหมือนมนุษย์ .ผมก็ช่มความโกรธเหมือนสัตว์ป่าของตนไว้ได้..ด้วยเหตุผลแบบมนุษย์.แต่ความโกรธนั้น ลงไปซุ่มอยู่แถวๆผิวของวิญญาณ.พร้อมจะลุกโชนดุเดือด ถ้าไปกระตุ้นมันแม้น้อยนิด.
    ผมไม่พบหญิงสาวชื่อ อัลตา อีก.แต่ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ นอกห้องหลายครั้ง จะเป็นเธอหรือหญิงอื่นผมไม่รู้.
    และตอนหัวค่ำคืนหนึ่ง นักรบกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาประกาศว่า จะมาพาผมไปที่ประชุม. ที่โคธสุทจะให้ไปฟังการโต้เถียง เรื่องชะตาชีวิตผม...ผมอดแปลกใจไม่ได้ เมื่อเขาว่า การอภิปรายนี้จัดเพื่อให้ผมมีทางรอด..ถ้าผมสัญญาว่าจะไม่ต่อสู้ เขาจะถอดโซ่ที่ล่ามติดกำแผงให้.แต่ไม่ถอดเส้นที่ล่ามแขนและขา.
    นักรบคุมตัวผมไปตามทางเดินกว้างส่องสว่างด้วยคบไฟเปลวสีขาวนวล.ตามผนังไม่มีภาพประดับ ไม่มีม่าน ไม่มีสิ่งประดับประดาใดๆ.มีแค่สถาปัตยกรรมมหึมากดบีบจิตใจ.
    เราผ่านทางเดินไปหลายเส้นทาง.ใหญ่เท่ากัน ลมโกรกพัดเหมือนกัน.ผนังหินใหญ่หยาบ เพดานสูง ในที่สุดก็มาถึงห้องใหญ่รูปกลมหลังคาก่อเป็นโดมสูง กำแพงด้านหนึ่งมีบัลลังก์หิน ที่นี่ โคธสุทผู้ชรา นั่งเป็นสง่าน่าเกรงขาม.ห่มหนังเสือดาว.ที่พื้นข้างหน้าเหล่านักรบนั่งขัดสมาธิบนแผ่นหนัง ด้านหลังพวกผู้หญิงและเด็กนั่งบนม้ายาวปูด้วยหนังสัตว์.
    มองผู้เข้าร่วมประชุมผมพบความแตกต่างชัดเจนระหว่าง ผู้ชายขนดกบึกบึนกับผู้หญิงอ้อนแอ้นบอบบาง.ผู้ชายนุ่งผ้าเตี่ยว.สวมรองเท้าแตะรัดสูง.บางคนมีหนังเสือดาวห่มไหล่อันกว้าง.ผู้หญิงแต่งกายคล้าย อัลตา ซึ่งผมเห็นนั่งรวมอยู่คนหนึ่งในกลุ่ม.สวมรองเท้าคีบหนังนิ่ม บางก็เท้าเปล่า.เสื้อบางๆ กระโปรงสั้น คาดด้วยเข็มขัด.,ความแตกต่างระหว่างหญิงและชายเป็นแบบนี้ลงไปถึงเด็กทารก..เด็กผู้หญิงดูน่ารักและสวยงาม.เด็กผู้ชายดูเหมือนลูกลิงมากกว่าลูกคน.
    เขาสั่งให้ผมนั่งบน หินก้อนใหญ่สกัดเป็นแท่ง.ด้านหนึ่งของบัลลังก์.ผมมองเห็นกอร์อยู่ในกลุ่มนักรบ.กระสับกระส่ายเบ่งกล้ามแขนแก้รำคาญ.
    เมื่อผมลงนั่ง. การประชุมก็เริ่มทันที.โคธสุทประกาศว่า เขาจะรับฟังการโต้เถียงอภิปราย.และชี้ไปผู้ที่เขาเลือกเป็นตัวแทนแก้ต่างให้ผม..วิธีการแปลกๆ แต่เขาก็เหมือนจะใช้วิธีนี้ตัดสินปัญหาต่างๆกันมา.ผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นทนายพูดแทนผม เป็นหัวหน้าชั้นรองๆ และก็เป็นคนที่คุมนักรบหน่วยที่ไปปะทะกับผมในห้องขัง..คนเรียกเขาว่า กัชลัค ดุเหมือนเสือ.กัชลัคมองมาที่ผมด้วยสายตาแค้นเคือง ขณะที่เดินกระเผลกออกมาอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไร .ใบหน้าเนื้อตัวยังบวมปูด เขียวปั้ดจากพิษกำปั้นผม..
    กัชลัค ถอดดาบและมีดประจำตัววางไว้หน้าบังลังก์.นักรบคนอื่นๆก็ทำเช่นกัน..และหันไปมองคนอื่นถมึงทึง..และแล้ว โคธสุท ก็ให้เริ่มการถกเถียง หัวข้อว่า..”ทำไมจึงไม่ควรรับ เอสู เคอร์น เป็นสมาชิกของเผ่า"
    แน่นอนเหตุผลมีเป็นกระบุงๆ นักรบครึ่งโหลลุกขึ้นยืนตะโกนแจกแจง..ผมรู้สึกว่า ไม่รอดตายแน่ๆ ครั้งนี้. ตอนแรก กัชลัคก็แก้ตัวแทนผมไปตามหน้าที่..แก้ต่างให้อย่างแกนๆ แต่เกมยังไม่จบ ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ-เมื่อฝ่ายต้องการให้ความตายกับผม เริ่มตะโกนเผ็ดร้อน.กัชลัคก็ชักเครื่องร้อนไปด้วย ตาเป็นประกายขุ่นแค้น.ปากยื่น ตะโกนแจกแจงเหตุผลที่ผมไม่ควรตายโต้ตอบดังสนั่นลั่นห้อง..จากเหตุผลที่เขายกพูดมา หรือตะโกนออกมา..ใครไม่รู้มาเห็นเข้าต้องเข้าใจว่าเขากับผมเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายกันมาตลอดชีวิต.
    ทุกคนมีสิทธิ์พูดหรือเลือกข้าง.และหากคนไหนเห็นด้วยกับกัชลัค .ก็จะออกเสียงเข้าข้างผม. .แท๊บ และกอร์ เข้าข้างผม.และไม่นานผมก็ได้พวกไม่น้อย.
    การอภิปรายนี้ ชาวโลกไม่ได้ไปเห็นด้วยตา เป็นไม่มีเชื่อ.มันเหมือนคนไม่บ้าก็เมาทะเลาะกัน..จากสองสามเสียงถึงห้าร้อยเสียงตะโกนแข่งกัน.โคธสุทเข้าใจรู้เรื่องได้อย่างไรผมก็ไม่รู้.แต่เขานั่งเคร่งขรีมฟังเฉย,เหมือนเทพเจ้าดุร้ายอะไรสักองค์ นั่งมองมนุษย์ตัวน้อยๆทะเลาะกัน.
    การให้ถอดดาบวางไว้มีเหตุผลสมควรแล้ว.เริ่มมีการกัดกัน.มีการขุดโครตบรรพบุรุษหรือความเลวส่วนตัวขึ้นมาใช้.มือไม้ชักจะกุมไปที่ซองดาบเปล่าที่เอว.หนวดและขนฟูเหมือนแมวตอนจะกัดกัน.นานๆที โคธสุทต้องใช้เสียงก้องกังวาลกระหึ่มของเขา เตือนให้สงบกันหน่อย.
    ผมเลิกติดตามการอภิปรายครั้งนี้แล้วเพราะชักไม่รู้เรื่อง..ข้อกล่าวหา เริ่มขาดเหตุผล ข้อแก้ต่างก็เหมือนๆกัน.หลายครั้ง ผู้อภิปรายใช้เหตผลแย้งตัวเอง.บ้างก็ลืมไปเลยว่าตัวเองอยู่ฝ่ายไหน.ไปทะเลาะกับฝ่ายเดียวกัน..เที่ยงคืนล่วงแล้วเขาก็ยังเถียงกันเสียงไม่แหบดังเท่าเดิม.ชูกำปั้นใส่หน้ากันเหมือนเดิม.
    พวกผู้หญิงไม่เข้าร่วมในการอภิปราย.
    พอถึงเที่ยงคืนพวกหล่อนเริ่มลุกออกไปพาเด็กๆไปนอน.ในที่สุดเหลือร่างน้อยๆร่างเดียวอยู่ที่ม้านั่ง,นั่นคือ อัลตาตั้งอกตั้งใจพยายามติดตามการโต้เถียง.
    ผมน่ะ เลิกฟังนานแล้ว กัชลัคยืนหยัดคัดค้านอย่างกล้าหาญไม่มีถอย.เส้นเลือดที่หน้าผากเขม็งเครียดโปน หนวดเคราฟูตั้งชัน.เหงื่อโซมด้วยความเหน็ดเหนื่อย
    มันเหมือนฟังคนบ้าคนเมาทะเลาะกัน ในที่สุดแม้เสียงจะดังหนวกหูแค่ไหน.และแม้ว่าชีวิตผมจะขึ้นอยู่กับการอภิปรายครั้งนี้.ผมลงนอนบนก้อนหิน หลับสนิท.ขณะที่นักรบโคธทุบหน้าอกตัวเองและตะคอกตะโกน ขณะเมื่อดาวประหลาดนาม อัลมูริกโคจรไประหว่างกลุ่มดาวไม่ได้มีความสนใจกับเรื่องของมนุษย์ใดๆ
    รุ่งแจ้ง แท๊บเขย่าตัวผมตะโกนกรอกหู"เราชนะว่ะแกเข้าเป็นคนเผ่าเราได้ ถ้ายอมเข้าสู้กับกอร์"
    “อือ, เดี่ยวข้าจะหักคอมัน" ผมหลับตาพูด แล้วก็นอนต่อ

     บท 04
    ผมเริ่มชีวิตบนอัลมูริค เช่นมนุษย์ .ผมผู้เริ่มต้นด้วยการเป็นสัตว์ไม่นุ่งผ้า.ขึ้นบันไดมาอีกขั้น.มาเป็นคนเถื่อน.โคธคือเผ่าคนเถื่อน..ถึงจะมีฝีมือทอผ้าได้เนื้อนิ่มเหมือนไหม.มีเหล็กกล้าและมีเมืองหินมหึมา.แต่คนเถื่อนแบบหาตัวอย่างเปรียบเทียบบนโลกไม่ได้..พักเรื่องนั้นไว้ก่อน ให้ผมเล่าถึงการต่อสู้ระหว่างผมและกอร์ หมีมนุษย์,
    เขาถอดโซ่ให้ผม,จัดที่อยู่ให้ที่หอคอยหินแห่งหนึ่ง .ผมต้องพักที่นี่จนกว่าแผลจะหายดี.ผมยังเป็นนักโทษ.ชาวเผ่านำน้ำและอาหารมาให้ไม่มีขาด.พวกเขาใส่ยาทำแผลให้ผมอย่างดี.แผลแค่นี้ผมไม่วิตกนัก.ถ้าเปรียบกับแผลที่ผมเจอมาตอนอยู่ที่เนินจากสัตว์ป่า.ซึ่งไม่ต้องรักษาก็หายเอง.แต่เห็นชัดว่า พวกเขาต้องการให้ผมหายสนิท ต้องการให้อยู่ในสภาพสมบรูณ์สุดๆ ก่อนจะเข้าสนามสู้กับกอร์,ซึ่งผลการต่อสู้จะชี้ว่า ผมจะได้เข้าเป็นชนเผ่าคนหนึ่งหรือ..หรือ..ช่างมันเหอะ.ถ้าสิ่งที่ผมได้ยินมาเกี่ยวกับกอร์เป็นจริงถ้าผมแพ้ ก็ไม่ต้องไปวิตกว่าจะจัดการกับผมแบบไหน..แร้งกับหมา กำจัดซากศพที่พอเหลือของผมเอง.
    ชนเผ่าส่วนใหญ่เฉยเมยกับผม..ยกเว้นแท๊บที่เป็นมิตรเปิดเผย.ผมไม่เห็นโคธสุท.กอร์ หรือกัชลัค ในระหว่างถูกขังอยู่ในหอคอย ,อัลตาก็ไม่เห็น.
    ไม่เคยเบื่อหน่ายในชีวิตแบบนี้มาก่อนเลย.กลัวที่จะประทะกับกอร์น่ะไม่กลัวเท่าไร:แท้จริงผมไม่แน่ใจเลยว่าจะล้มเขาได้.แต่ผมเสี่ยงชีวิตบนดาวนี้มาหลายครั้งหลายหน แต่ละหนทางรอดแทบไม่มี.จนความกลัวแทบไม่เหลือ. แต่จากที่เคยใช้ชีวิตเหมือนเสือภูเขา.ต้องมาถูกกักตัวไว้ที่ห้องบนหอคอยไปไหนไม่ได้.ผมชักเริ่มหมดความอดทน.ความใจเย็นอดทนในที่สุดก็กลายเป็นสุดจะทน..หากให้ผมอยู่แบบนี้ต่อไปอีกวันเดียว.คงจะหมดความอดทน หักหาญต่อสู้หนีออกไปสู่อิสรภาพกลับไปป่าเขาก็ได้ .จะตายก็ยอม,การอดกลั้นเก็บกดสุดๆ นี้กลับเป็นผลดี.มันปิดกั้นพลังผมไว้ จนเกิดแรงดันจวนถึงจุดแตกหัก ช่วยสร้างพลังโทสะมหาศาลให้ และพลังนี้ช่วยผมได้มากในการต่อสู้ที่จะมาถึงไม่ช้า..
     ชาวเผ่าโคธ มีกำลังมากกว่าชาวโลกทุกคน.พวกเขาใช้ชีวิตคนเถื่อน.เสี่ยงความตายทุกเมื่อเชื่อวัน.จากคนและสัตว์ ..แต่ไงก็ตาม พวกเขาเป็นมนุษย์อยู่ในเมือง ใช้ชีวิตหลังกำแพงหนาป้องกันภัยได้.ชีวิตผมสู้และหนีมาแบบสัตว์ป่า.ะหว่างเวลาที่ผมเดินวนเวียนอยู่ในห้องกักตัว.ผมคิดถึงเพื่อน:แชมเปี้ยนมวยปล้ำยิ่งใหญ่คนหนึ่งของยุโรป.ที่ผมเคยปล้ำแบบนอกรอบที่โรงยิมฯส่วนตัว.เขาคนนี้ยอมรับว่า ผมเป็นคนแข็งแรงที่สุดที่เคยเจอมาบนสังเวียน.หากเขามาพบผมบัดนี้ ในห้องศิลานี้.ผมเชื่อว่า ผมฉีกกล้ามเนื้อแขนเขาออกมาได้เหมือนฉีกผ้าผุๆ.อุ้มเขาคว่ำลงบนตัก แล้วหักตัวเขาได้ไม่ยาก.หรือส่งกำปั้นตุ้บเดียวก็ยุบซี่โครงเขาได้.:สำหรับความว่องไว นักกรีฑาที่ฝึกมาดีที่สุด.จะกลายเป็นงุ่มง่ามเชื่องช้าไป ถ้ามาเปรียบความเร็วของกล้ามเนี้อและเส้นเอ็นซึ่งเร็วเหมือนเสือของผม.
    แม้กระนั้น ผมแน่ใจว่า ต้องพยายามสู้สุดชีวิต งัดเอากำลังและเล่ห์เหลี่ยมในการต่อสู้ทั้งหมด ออกมาใช้..แค่เอาตัวไม่ให้ล้มลงแทบเท้ามนุษย์ยักษ์ที่ชื่อกอร์ หมีมนุษย์.เขาเหมือนหมีใหญ่ขนสีน้ำตาล มากกว่าเหมือนคน.
    แท๊บ ตีนเร็วมาหาผมบ่อยๆ เล่าชัยชนะของกอร์ที่ผ่านมาให้ผมฟัง.ไม่เคยได้ยินคนไหนโชกโชนผ่านมาเท่าเขา. ทิ้งคู่ต่อสู้ในสภาพแขนขาหัก คอหัก.ไว้เบื้องหลังเกลื่อน.ยังไม่มีใครล้มเขาได้ ในการต่อสู้มือเปล่า.แต่บางคนยืนยันว่า  เอากอร์ไปพบ โลการ์มือบดกระดูก ต่างฝ่ายจะล้มกันไม่ลง.
    โลการ์ เป็นหัวหน้าเผ่าทูกรา. เมืองที่เป็นศัตรูกับโคธ.แต่ละเมืองบนอัลมูริก เหมือนจะเป็นศัตรูกันทั้งนั้น มนุษย์บนอัลมูริก แบ่งกันเป็นเผ่าเล็กๆ อยู่กระจัดกระจายสร้างเมืองกำแพงใหญ่เหมือนโคธ..ทำศึกกันไม่เว้นว่าง.หัวหน้าเผ่าทูกรา ได้สมญาว่า มือบดกระดูก เพราะมีแรงมหาศาล.มีดเล่มยาวที่ผมยึดมา เป็นอาวุธที่เขารักสุด.มีดเล่มนี้มีประวัติเลื่องลือ.แท๊บเล่าว่า มีดเล่มนี้หลอมและตีสร้างขึ้น ด้วยช่างเหล็กที่ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ .เขาเรียกพวกนี้ว่า "กอร์ก้า" ฟังๆแท้บเล่าแล้ว เรื่องมันคล้ายๆพวกคนแคระช่างเหล็กในตำนานพื้นบ้านของทางเยอรมัน จากดาวดวงเก่าที่ผมจากมา.
    แท๊บเล่าเรื่องผู้คนและดาวดวงนี้ให้ผมฟังหลายเรื่อง..เรื่องพวกนี้ไว้ผมจะเล่าต่อไป.เพราะในที่สุด โคธสุทก็
เข้ามา ตรวจดูแผลที่หัวผม.นัยน์ตาที่ครุ่นคิดอยู่เสมอของเขา มองกล้ามเนื้อสีทองแดงของผมมีแววชื่นชม.และประกาศว่า ผมพร้อมไปต่อสู้แล้ว.
    ความมืดโรยตัวลง เมื่อเขานำผมไปตามถนนเมืองโคธ.ผมมองไปรอบๆอย่างตื่นใจ.มองกำแพงมหึมา สูงตระหง่านเหนือหัว ใหญ่จนเอาคนไปเปรียบคนเล็กเหมือนแคระ,สถาปัตยกรรมเมืองโคธล้วนสร้างกันใหญ่เทอะทะ ความสูงเปรียบกับความกว้างไม่เท่าไร.แต่เขาสร้างใหญ่เสียใหญ่ถึงใจ. พวกนำทางพาผมไปถึง เวทีกลางแจ้งใกล้กำแพงเมือง.รูปกลมรี ล้อมด้วยก้อนหินสกัดหยาบๆ เรียงรายสูงขึ้นไป .นี่คือที่นั่งของผู้ชม.พื้นที่ว่างกลางสนาม เป็นดินอัดบดแน่น คลุมด้วยหญ้าสั้นๆ.รอบๆกั้นด้วยตาข่ายถักจากหนังสัตว์เห็นได้ชัดว่า ติดตั้งไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้ล้มไปหัวฟาดหินรอบๆคอหักเสียก่อน..คบไฟที่โนน่ที่นี่ ส่องแสงขาวสว่าง
    ผู้ชมมาพร้อมรอกันแล้ว.พวกผู้ชายนั่งที่แท่นหินชั้นล่างๆ ผู้หญิงและเด็กนั่งสูงขึ้นไป,ผมมองไปตามกลุ่มผู้ชม.หน้าดกด้วยหนวดเคราหรือเกลี้ยงเกลา.งดงาม.กระทั้งไปหยุดที่ใบหน้าหนึ่งซึ่งผมจำได้..ใจเต้นด้วยความยินดีอย่างประหลาดที่ได้พบอัลตานั่งบนนั้น จ้องมองผมด้วยนัยน์ตากลมโตดำซึ้ง,
    แท้บชี้ให้ผมเข้าไปในสังเวียน .ผมก้าวเข้าไป.ใจนึกถึงการชกมวยไม่สวมนวมซึ่งคนบนโลกเดิมจัดกันมาสมัยก่อนๆทำกันบนสังเวียนง่ายๆพื้นเป็นหญ้าแบบนี้..แท๊บและนักรบอื่นที่นำผมมา รออยู่ด้านนอก.เหนือพวกเราขึ้นไป โคธสุทผู้ชรา นั่งเฉยเมยตาปรืออยู่บนแท่นหินสกัดสูงเด่นระหว่างที่นั่งแถวล่าง.ห่มหนังเสือดาว.
    ผมเหลือบตามองผ่านโคธสุทขึ้นฟ้าสูงประดับดาว ไม่เคยเบื่อหน่ายความงามมีเสน่ห์ของฟ้ายามนี้เลย..หัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงว่า...ผม,เอสู เคอร์น.กำลังจะซื้อสิทธิ์ที่จะได้อยู่บนดาวดวงนี้แลกซื้อด้วย เหงื่อและเลือด.บนดาวที่คงจะไม่เคยมีใครบนดาวเดิมของผมคิดฝันว่าจะมี.ซ่อนอยู่บนฟากฟ้าไพศาล.
    ผมเห็นเหล่านักรบกลุ่มหนึ่งก้าวเข้ามาทางด้านตรงข้าม.ร่างสูงมหึมาตระหง่านเหนือพวก.กอร์ หมีมนุษย์ จ้องผมตาเขม็งข้ามสังเวียนด้านตรงข้าม กดเชือกหนังกั้นแล้วกระโดดข้ามเข้ามา..ยืนประจัญหน้าผม บึ้งตึงเคืองแค้น เพราะผมมีโอกาศเข้าสังเวียนก่อน.
    บนบัลลังก์หยาบๆ ข้างบน.โคธสุทชรา หยิบหอกขึ้นพุ่งออกไปทางตะวันออก..เรามองตาม เมื่อคมหอกปักลงบนพื้นหญ้า.นอกสนาม.เราทั้งคู่โจนเข้าหากัน.กล้ามเนื้อเส้นเอ็นแข็งเหมือนเหล็ก.กระเพื่อมไหวด้วย พลังชีวิต และความกระหายที่จะทำลาย..
    ทั่วกายเราเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าเตี่ยวผืนน้อย..กฏมีอยู่ง่ายๆ..ห้ามใช้กำปั้นชก..ห้ามตบด้วยมือ. ห้ามใช้ศอก ใช้เข่าห้ามเตะ.กัดหรือควักลูกตานอกนั้นทำอย่างไรก็ได้.
    เมื่อกายเราปะทะกันผลั่กแรก.ผมรู้ทันทีว่า กอร์แข็งแรงกว่าโลการ์.เมื่ออาวุธมือเปล่าที่ผมถนัดที่สุด คือ กำปั้น ถูกห้ามใช้.--กอร์ก็ได้เปรียบ..
    กอร์คนนี้ คือภูเขาของกล้ามเนื้อเหล็ก..เคลื่อนไหวได้เร็วราวเสือ.และคุ้นเคยกับการต่อสู้ด้วยกติกาแบบนี้.เขารู้กลเม็ดที่ผมไม่เคยพบ.อย่างสุดท้าย คอของเขามันหนาแน่น เต็มไหล่จนจะโอบรัดคอหักคอไม่ถนัดเลย.
    สิ่งที่พอช่วยผมได้คือ ชีวิตป่า ชีวิตป่าเถื่อนระหว่างพวกสัตว์ร้าย สร้างให้ผมแกร่งและทนทาน อย่างที่มนุษย์ซึ่งอาศัยในหมู่มนุษย์จะมีทางไปได้ถึง.ความเร็วของผมเหนือกว่า และที่สุด.ผมอึดกว่า.
    ผมจำอะไรมาเล่าไม่ได้มากนัก เรื่องการต่อสู้ในคืนนั้น.เวลาหยุดจากการผ่านไปเป็นช่วงๆแบ่งเป็นวินาที..นาที..มันมาผสมรวมกันเป็นปึกของการจับฉีก .คำราม,เสียงทุกสิ่งนิ่งสนิท มีเพียงเสียงหอบหายใจ..เสียงประทุของคบไฟ.เสียงลมเบา..เสียงเท้ากระทืบลงไปบนผืนหญ้า.และเสียงร่างกายแน่นหนักปะทะกัน..
    เราทั้งคู่ไม่มีใครต้อยกว่าใคร มองผลแพ้ชนะไม่ได้ง่ายๆ ไม่มีการพักยกเหมือนมวยปล้ำบนโลก..ต้องสู้ติดต่อกันไปจนฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายล้มหรือตายลง.
    นึกย้อนหลังถึงความทดอึดของเราสองคนในคืนนั้น ผมสยองใจ.เที่ยงคืนแล้ว เราทั้งคู่ยังยืนหยัด ปัดป้องและฉีกเนื้อกัน.โลกเปลี่ยนเป็นสีแดง ยามผมดิ้นหลุดจากวงแขนแกร่ง..เจ็บปวดไปทั่วกาย..กล้ามเนื้อบางชิ้นชาด้านไม่ตอบสนองแล้ว..เลือดไหลออกมาทางปากและจมูกเป็นสาย.ตาครึ่งบอดเวียนหัวติ้ว จากการล้มเอาหัวกระแทกดินครั้งแล้วครั้งเล่า.ลมหายใจหอบแฮ่กเป็นช่วงๆ.สังขารกอร์ก็ไม่ดีไปกว่าผม, เลือดพลั่กๆออกทางปากทางจมูกและทางหู.เมื่อเขาก้าวเขามา เรียกว่า โซเซเข้ามาดีกว่า..อกกระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ..เขาถ่มเลือดออกจากปาก.คำรามและหอบหายใจ..โดดเข้าใส่ผมอีก..ผมรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายตั้งรับ..คว้าแขนที่ยืนเข้ามาหมุนตัวและย่อขาดึงแขนเขาผ่าน
คล่อมหลังผมไป..ใช้ไหล่ดันยกตัวเขาขึ้นพ้นดินด้วยกำลังออนซ์สุดท้าย..ดันให้หัวปักลง
    แรงพุ่งตัวเข้ามาของกอร์ช่วยผม,คือส่งให้เขาหัวทิ่มลงดินดังสนั่น นิ่งสนิท .ผมยืนหยัดอยู่ได้อีกอึดใจ..ขณะเมื่อเสียงตะโกนอื้ออึงของชนเผ่าก้องสนั่น..แล้วก็ล้มลงหมดสติ ทับลงบนร่างแน่นิ่งของคู่ต่อสู้,
    พวกเขาเล่าให้ฟังในภายหลังว่าใครๆก็นึกว่า กอร์และผมตายแน่ทั้งคู่ พวกเขาแก้ไขเราทั้งสองอยู่หลายชั่วโมง.หัวใจของพวกเราไม่หยุดเต้นระหว่างการต่อสู้มหากาฬแบบนั้นได้ยังไงผมก็นึกไม่ออก..ทุกคนยืนยันว่า ตั้งแต่มีการสู้ในสังเวียนแห่งนี้ คู่ผมกับกอร์ฟาดกันนานที่สุด.
    กอร์บาดเจ็บสาหัส.สาหัสแม้แต่มาตรฐานชาวโคธ.หัวปักลงครั้งท้ายสุด ทำให้กระดูกไหล่หัก.กระโหลก
ร้าว.ไม่ต้องพูดถึงบาดแผลรองๆ ที่ได้รับมา ก่อนนาทีตัดสินผลต่อสู้นั้น..ซี่โครงผมหักสามซี่.ข้อต่อ.แขนขา และกล้ามเนื้อถูกจับบิดกระชากจนเคลื่อนที่ไปก็หลายจุด. ผมลุกจากเตียงพยาบาลไม่ได้หลายวัน.ชาวโคธรักษาเยียวยาบาดแผลของผมได้ดีและชำนาญยิ่งกว่าชาวโลกอีก.แต่ผลสุดท้าย สิ่งที่ช่วยให้เราลุกขี้นได้อีก ผมคิดว่ามันเป็นความเถื่อนดิบของร่างกายเราทั้งคู่มากกว่า. เมื่อสัตว์ป่าในพงไพร บาดเจ็บ.ปรกติก็ต้องตายในเวลาสั้นๆ หรือไม่ก็ต้องหายในเวลาสั้นๆเหมือนกัน.     
    ผมถามแท๊บว่า กอร์จะโกรธอาฆาตแค้นผมมากไหม.แท๊บก็ตอบไม่ถูก.กอร์ไม่เคยแพ้ใครมาก่อน
    แต่ไม่นานผมก็โล่งใจ.ปัญหานี้ตกไป..มีนักรบกำยำเจ็ดคนเข้ามาในห้องพักผม..แบกคู่ต่อสู้ของผมนอนมาบนเปล.พันผ้าพันแผลเต็มตัว..จนจำแทบไม่ได้..แต่เสียงสนั่นของเขาผมคุ้นหูจำได้..เขาต้องบังคับเพื่อนนักรบให้แบกเขาใส่เปลมาหาผม ในทันทีที่เขากระดิกตัวได้..กอร์ไม่มีจิตใจอาฆากโกรธเคืองเลย..ในหัวใจ,ป่าเถื่อน.ซื่อและเรียบง่าย
ของกอร์..มีเพียงความชื่นชม.สรรเสริญให้แก่ ผู้ที่โค่นเขาลงเป็นครั้งแรกในชีวิต..เขาเล่าทบทวนการต่อสู้ที่ผ่านมาบนสังเวียนอย่างสนุกสนานมันหยด เล่าด้วย,เสียงสนั่นเพดานสะเทือน..แต่ละพลั่ก แต่ละตุ้บ แต่ละกร๊อบ..ตะโกนบอกว่า รอเวลาที่เราทั้งสองจะได้ออกไปรบกับศัตรู ของโคธ เคียงบ่าเคียงไหล่กัน จะไม่ไหวแล้ว.
    นักรบหามเขากลับไป..ทางเดินยังกึกก้องด้วยคำชื่นชมตัวผมและแผนศึกที่เราจะออกไปถล่มกันในโอกาศหน้า,หัวอกผมเกิดความอบอุ่นอย่างประหลาด.ในลูกชายร่างกายมหึมา และหัวใจก็ยิ่งใหญ่ปานกับกาย ลูกชายที่ธรรมชาติเถื่อนดิบให้กำเนิดและหล่อหลอมมา..ผู้นี้..ผู้ที่..มีความเป็นลูกผู้ชาย มากกว่าชายชาวศิวิไลซ์คนใดที่ผมได้เคยพบ..
    เป็นดังนี้เอง.ผม เอสู เคอร์น ก็ก้าวผ่านความเป็นสัตว์ป่ามาเป็นคนป่า.เมื่อผมพอจะลุกเดินเหินได้ เขาพามา ห้องโถงประชุมหลังคาโดมใหญ่โต.นักรบทุกคนในเผ่าพร้อมอยู่ที่นั่น..เขาพาผมไปยืนหน้าบังลังก์ของโคธสุท มือบดกระโหลก.โคธสุทหยิบดาบวาดสัญญลักษ์ของโคธบนอากาศเหนือหัวผม..และแต่งกายนักรบให้ผมด้วยมือตัวเอง.เข็มขัดเส้นใหญ่หัวเป็นโลหะ.มีซองหนังสำหรับมีดสั้นคู่มือผม ดาบเล่มยาว มีกั้นมือทำด้วยเงิน..และแล้วนักรบทุกคนเข้าแถวเดินผ่านผม.นักรบชั้นรองเดินแถวผ่าน-ส่วนชั้นหัวหน้ากดฝ่ามือเขากับฝ่ามือผม.บอกชื่อ.ผมทวนชื่อเขา.และเขาบอกสมญาที่พวกเขาตั้งให้ผม "มือเหล็ก" ผมทวนสมญานั้น เขาทวนซ้ำ "มือเหล็ก" ส่วนนี้ของพิธีออกจะน่าเบื่อเพราะในเผ่ามีนักรบชั้นรองสี่พันคน. ชั้นหัวหน้าสี่ร้อยคน.ตำแห่นงหลากหลาย.มันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีรับเข้าเผ่า.เมื่อพิธีจบลง ผมก็เป็นชาวโคธ เต็มตัวเหมือนได้เกิดมาในเผ่า.
       
    ครั้งก่อนการต่อสู่กับกอร์..ในห้องกักตัวบนหอคอย .เดินวนไปวนมาเหมือนเสือในกรง..ผมฟังแท๊บพูด.และต่อมาในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของเผ่า-ในห้องประชุม...,ผมเรียนรู้เรื่องของดาวเคราะห์ประหลาดแห่งนี้.เท่าที่เผ่าโคธพอจะบอกเล่าได้ .
    เขาเล่าว่าพวกเขาและเผ่าอื่นๆเป็นมนุษย์แท้จริงพวกเดียวบนอัลมูริก,ถึงจะมีพวกลี้ลับอาศัยอยู่ใกลออกไปทางใต้ เรียกว่าพวก"ยากา”ก็ไม่ควรเรียกว่าคน..ชาวโคธเรียกตัวเองและมนุษย์แบบเดียวกับพวกเขาว่า;"กูรา"คำนี้แท้จริงไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าคำว่า"คน"ของชาวโลก. กูรานี่มีมากมายหลายเผ่า.สร้างเมืองอยู่อาศัยหลังกำแพงมหึมาคล้ายๆเมืองโคธ.แต่ละเมืองแต่ละเผ่าไม่มีนักรบเกิน ห้าพันคน..ผู้หญิงและเด็กก็จำนวนพอๆกัน.
    ชาวโคธไม่เคยเดินทางรอบอัลมูริก.แต่ก็ออกไปใกลไม่น้อย เพื่อล่าสัตว์หรือออกรบแย่งชิง..มีตำนานตกทอดกันมาหลายเรื่องเกี่ยวกับโลกของเขา.ซึ่งเขาใช้ชื่อเรียกเหมือนๆชาวเราว่า "โลก"แต่ต่อมาเริ่มมีคนใช้คำที่ผมเรียกดาวนี้ตามคือ "อัลมูริก".ใกลออกไปทางเหนือ เป็นดินแดนน้ำแข็งและหิมะ.ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย.แม้ว่าจะมีคำเล่าลือ ถึงเสียงก้องน่าขนลุกที่ดังมาจากทางเนินหิมะและมุมมืดเหวลึก.ต่ำลงมาทางใต้อีกไม่ไกล จะมีสิ่งกีดขวางที่ยังไม่เคยมีใครเคยข้ามไป---มันเป็นกำแพงหินมหึมาสูงลิบ ซึ่งตำนานบอกว่า มันกั้นคาดไปรอบโลก ใครๆจึงเรียกตำแหน่งนี้ง่ายๆ ว่า "วงคาด"มีอะไรพ้นวงคาดออกไปไม่มีผู้ใดบอกถูก..บ้างก็ยืนยันว่า ตรงนั้นคือริมขอบโลกข้ามไปก็ตกโลกลงไปสู่ที่ว่าง..บางคนเชื่อว่าพ้นออกไปก็เป็นแค่ซีกโลกอีกด้านหนึ่ง ผมว่าความเชื่อนี้มีเหตุผล วงคาดเป็นเพียงกำแพง ที่คาดรอบอัลมูริกไปตามเส้นศูนย์สูตร์ แบ่งดาวนี้เป็นซีกเหนือและใต้ ..ซีกใต้ก็คงจะมีผู้คนและสัตว์แบบซีกเหนือ.แต่ทฤษฏีนี้ หาข้อหักล้างหรือพิสูจน์ยังไม่ได้..ใครที่เชื่อแบบนี้ก็มักถูกหาว่าเพ้อฝันมาก.
    เมืองของกูราปรากฏอยู่ทั่วไปบนที่ว่างกว้างใหญ่ ระหว่าง วงคาดและแดนน้ำแข็ง.ซีกโลก(ผมจะเรียกว่า ด้านเหนือ)นี้ไม่มีทะเล.มีแต่แม่น้ำหลายสาย..ทุ่งราบกว้างใหญ่.ทะเลสาบเล็กๆ. นานๆก็มีป่าดิบมืด ต้นไม้มหึมา..ทิวเนินเขาเตี้ยยาวเหยียด.และภูเขาสูงสองสามลูก..แม่น้ำสายใหญ่ๆจะไหลลงไปทางใต้หายลงไปตามถ้ำและเหวมืดในวงคาด .
    พวกกูราเลือกสร้างเมืองบนที่ราบเสมอ.และสร้างห่างกัน.ลักษณะสถาปัตยกรรมก็บ่งสะท้อนวิวัฒนาการของผู้สร้าง.ง่ายๆคือมันเป็น ป้อมปราการที่ขนหินก้อนใหญ่ๆมาสุมกันใช้ป้องกันภัย.เหมือนผู้สร้าง.หยาบกระด้าง.มั่นคงตระหง่าน.ใหญ่มหึมา.ไม่มีการตกแต่งประดับเล็กๆน้อยๆให้วิจิตร..พวกนี้ไม่มีคำว่า "ศิลปะ".
    กูรา คล้ายมนุษย์โลก หลายอย่าง แต่หลายอย่างไม่เหมือนสิ้นเชิง .ทำไมวิวัฒนาการของสองดาวจึงเป็นแบบนี้ผมยังนึกไม่ออก.
        ใช้โคธ เป็นตัวอย่าง.ก็บอกลักษณะกูราอื่นๆได้ทั้งสิ้น, ชาวโคธชำนาญด้าน การรบ.ล่าสัตว์ สร้างอาวุธ.ความรู้เหล่านี้โดยเฉพาะอย่างหลังจะถูกถ่ายทอดสั่งสอนเป็นหลักสูตรจำเป็นให้แต่เด็กชายทุกคน.แต่ความรู้สร้างอาวุธที่ว่านานๆถึงจะได้นำมาใช้.ไม่ค่อยมีความจำเป็นต้องหลอมเหล็กตีดาบใหม่.แร่เหล็กที่นี่มีคุณสมบัติพิเศษ.มันมีความแข็งและเหนียวเหลือเชื่อ..อาวุธที่พวกนักรบใช้ตกทอดจากรุ่นหนึ่งถึงรุ่นหนึ่งหรือไม่ก็ยึดเอามาจากศัตรู..
    เขาใช้โลหะแค่ทำอาวุธ,เป็นเดือยยึดก้อนหินในอาคาร.และเป็นหัวเข็มขัด.เครื่องประดับอื่นไม่มี.ไม่มีเหรียญใช้เป็นเงิน.ไม่มีการค้าขายระหว่างเมือง.สินค้าในเมืองไม่ใช้การซื้อขาย;ใช้วิธีแลกเปลี่ยน.เสื้อผ้าที่นุ่งห่ม ที่มีเนื้อเหมือนผ้าไหมปั่นเป็นด้ายและทอมาจากพืชชนิดหนึ่งที่ปลูกได้ในกำแพงเมือง.พืชอีกชนิดใช้กลั่นเป็นเหล้า.สองสามชนิดให้ผลกินได้. อาหารหลักของกูรา คือเนื้อสัตว์ต้องออกไปหานอกกำแพง การล่าสัตว์เป็นทั้งการพักผ่อน,กีฬาและอาชีพ..
    นอกจากชำนาญทางเครื่องโลหะ ชาวโคธยังชำนาญด้านปั่นด้ายทอผ้า,และการเกษตรแบบที่จำเป็นของเขา. พวกเขามีภาษาเขียนด้วย.อักษรเส้นขีดง่ายๆ,เขียนลงไปบนกระดาษเยื่อไม้ คล้ายๆต้นกก ปาปิรัส.เขียนด้วยปากกาหมึกจิ้ม หมึกคั้นจากดอกไม้สีแดงชนิดหนึ่ง,แต่พวกอ่านออกเขียนได้ก็มีแค่ชั้นหัวหน้า.วรรณคดีไม่มีแน่นอน..รวมถึงศิลปะหรือการฝีมือ"ชั้นสูง"ต่างๆ พวกวาดภาพ .ปั้นรูป .พวกเขาวิวัฒนาการมาถึงจุดที่จำเป็นในการดำรงชีวิต.และไม่พัฒนาการต่อไป. เรื่องนี้เหมือนๆจะท้าทายกฏบนโลกที่กำหนดว่า ทุกสิ่งต้องก้าวหน้า(ไม่ก็ถอยหลัง) พวกเขาหยุดพัฒนาการ.ไม่ก้าวหน้าและไม่ล้าหลัง.
    เหมือนๆพวกคนป่าคนเถื่อนทั่วไป.พวกเขามีบทกวี ง่ายๆ.กล่าวถึงการสงคราม.ต่อสู้ล้างผลาญข่มขืนฉุดคร่า.ไม่มีนักร้องนักขับลำนำอาชีพ.แต่ทุกคนในเผ่าจำบทเพลงยอดนิยมของเผ่าทั้งหลายได้,พอเมาได้ที่ก็มักจะแหกปากร้องเสียงดังเหมือนจะทำให้คนใกล้เคียงแก้วหูแตก.
    บทขับลำนำเหล่านี้ไม่มีการเขียนลงกระดาษ.ประวัติเรื่องราวเก่าก่อนก็ไม่มีคนเขียนและบันทึกเก็บไว้.ผลก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดในอดีต.เลือนลางเอาแน่นอนไม่ได้ มีนิยายตำนานที่ไม่น่าเป็นจริงได้ปนเปอยู่เต็มไปหมด.
    ไม่มีใครบอกได้ว่า นครโคธเก่าแก่แค่ไหน.หินก้อนมหึมาที่นำมาใช้สร้างทนแดดทนฝนต้านการผุพังมากๆ.มันอาจจะสร้างมาแล้ว สิบปี.หรือหมื่นปีก็ได้.ผมมองๆก็เดาว่าสร้างมาสักหมื่นห้าพันปี น่าจะใกล้ความจริง.กูรา เป็นชนเผ่าเก่าแก่.ถึงแม้ว่า พิจารณาจากความเถื่อนดิบ คนต่างดาวมาพบจะสรุป(ผิดๆ)ว่าน่าจะเพิ่งจะพัฒนาการมาจากบรรพบุรุษที่เป็นสัตว์อะไรสักอย่างไม่นานมานี้..พวกกูราเองไม่รู้เรื่องวิวัฒนาการเลย เขาคิดได้แต่ว่า.เผ่าพันธุ์เขา เหมือนความเป็นอนันต์ คือไม่มีเริ่มต้นไม่มีจุดจบ.เป็นเหมือนปัจจุบันมาตั้งแต่แรก.จะหาตำนานมาอธิบายการสร้างโลกหรือเผ่าพันธุ์คนและสัตว์เหมือนกลุ่มชนอื่นๆบนโลกหาไม่มีสักชิ้น.
    ผมบรรยายเกี่ยวกับผู้ชายอัลมูริกมานาน ผู้หญิงอัลมูริกก็สมควรยกมาวิจัยบรรยายอย่างละเอียด เพราะปัญหาที่ผมเจอมาตั้งแต่ต้นคือไหงผู้หญิงโคธ ถึงได้งดงามผุดผาดขาวผ่องยิ่งนัก ขณะที่ผู้ชายเหมือนลิงใหญ่.มันพิลึกจนปัดทิ้งไม่ได้..ต้องขบให้แตกเมื่อได้มาอยู่ในหมู่พวกเขาก็บอกได้ว่า น่าจะมีคำตอบง่ายๆ.เกิดจากวิวัฒนาการอีกนั่นแหละ..นิสัย,เรียกว่าสันดานเดิมที่มีมาตั้งแต่ลืมตาเกิดของลูกผู้ชายกูราคือ "ยกย่อง-ทนุถนอม- ชื่นชม บูชา" ผู้หญิงชนิดสุดๆขั้ว (แต่ออกมาทางเถื่อนๆดุๆตามแบบฉบับ) ที่พวกเขาขนหินหนักๆมาสุมสร้างเมืองกำแพงมหึมา นี่ผมเดาว่า ก็เพื่อปกป้องหญิงกูราดั้งเดิมชายกูราน่าจะรักการเร่ร่อนเปลี่ยนที่อาศัยไปเรื่อยๆ.
    ผู้หญิงกูรา.ได้รับการปกป้องทนุถนอมจากอันตรายไม่ต้องทำงานหนัก เหมือนหญิงคนป่าคนดงบนโลกต้องทำ,รูปโฉมก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นงดงามบอบบางทั้งไม่ต้องกรำแดด ผิวก็ล้วนนวลผ่อง.
    พวกผู้ชายสิ ชีวิตมีแต่งานหนัก .ทุกขณะจิตมีแต่เสี่ยงภัยเอาชีวิตเข้าแลก..เป็นมาแบบนี้ตั้งแต่ ลิงอัลมูริกตัวแรกรู้จักเดินสองขา..รูปกายก็วิวัฒนาการมาแบบที่เห็น สันคิ้วหนา หน้าผากหาแทบไม่มี(จะได้ทุบยาก) .ล่ำสัน .ขนดกที่พวกผู้ชายเหมือนลิง ไม่ใช่เพราะวิวัฒนาการย้อนรอยถอยหลัง(กลับไปเหมือนลิง)มันเป็นรูปแบบเฉพาะ เป็นการปรับรูปลักษณ์ให้เหมาะกับรูปแบบชีวิต.
    ในเมื่อฝ่ายชายเป็นฝ่ายหาเลี้ยง,ต่อสู้ป้องกันรับภาระสำคัญๆทั้งสิ้น. เป็นธรรมดาที่จะมีสิทธิ์เหนือฝ่ายหญิงสิ้นเชิง.หญิงกูราไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในเรื่องของเผ่า. ฝ่ายชายมีอำนาจเหนือโดยเด็ดขาด.แต่พวกหล่อนมีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องต่อสภานักรบและหัวหน้าเผ่า ถ้าหากโดนทำร้ายหนักเกินไป..โลกของพวกหล่อนแคบมาก.มีหญิงไม่กี่คนกล้าจะก้าวเท้าออกนอกกำแพงเมืองเพราะออกไปก็มีหวังโดนเผ่าอื่นฉุดคร่า.
    แต่ว่าชีวิตหญิงกูราไม่ได้ไร้สุขอย่างที่มองผาดๆ.ตามที่ผมเล่ามาผู้ชายกูรานั้นบูชา ยกย่องผู้หญิง..การทำร้ายผู้หญิงจนเจ็บสาหัส หรือด้วยวิธี ลามกจกเปรต (นอกจากตีเพราะรัก เพราะสั่งสอน).เกิดขึ้นน้อยมาก..หากมีใครจะทำ  ชายกูราส่วนใหญ่ ไม่ยอมทนให้คนแบบนี้รอดอยู่ได้นาน.
    ผัวเดียวเมียเดียว เป็นกฏของสังคม.การสัมผัสจูบมือ.ป้อนคำหวาน,แสดงความเป็นสุภาพบุรุษก็ไม่มี..แต่มีความยุติธรรมและความเมตตาแบบดุๆแทนที่ เหมือนท่าทีของคนอเมริกันรุ่นบุกเบิกที่มีต่อผู้หญิงของเขา.
    หน้าที่ของหญิงกูรามีไม่มาก.ที่สำคัญคืออุ้มท้องคลอดลูก.และเลี้ยงดูอบรม.งานของพวกเธอ ไม่หนักไปกว่า ปั่นด้ายจากพืชไหมและทอเป็นผืนผ้า .พวกหล่อนชอบเสียงดนตรี.เล่นเครื่องดนตรีประจำเผ่าเป็นเครื่องสายชนิดหนึ่ง.ขับร้องเพลง.พวกเธอปัญญาไว.และมีจิตใจอ่อนไหวกว่าผู้ชายมาก,คุยสนุก, แจ่มใสร่าเริง. ขี้เล่นชอบยั่วเย้า.พวกผู้หญิงก็มีเรื่องสนุกๆทำระหว่างหญิงด้วยกัน.สำหรับพวกหล่อนเวลาไม่ผ่านไปแบบน่าเบื่อเลย..โดยทั่วไปชวนให้ออกนอกกำแพงเมืองจะไม่มีใครยอม.พวกเธอรู้ดีว่ากำแพงใหญ่ของนครไม่ได้มีไว้กักขัง แต่มีไว้ปกป้องอันตรายมหาภัยทั้งปวงซึ่งล้อมอยู่ข้างนอก..หล่อนพอใจแล้ว จากการปกป้องคุ้มครองจากคนรัก ผู้มีอำนาจเท่าเจ้าเหนือหัว.
    ผู้ชายกูราอย่างที่ผมเล่า.เหมือนเผ่าคนเถื่อนบนโลก.ถ้าจะบอกว่าเหมือนพวกไหนที่สุด ก็น่าจะไวกิ้งโบราณ. พวกนี้ซื่อสัตย์ .เกลียดการโกหก.ลักโขมย.รักการสู้ศึก.ล่าสัตว์.แต่ไม่ใช่ทารุณ ทำร้ายใครๆไปทั่ว(ยกเว้นเวลาโมโหหนักๆ ถ้าถึงเวลานั้นจะเหมือนปีศาจกระหายเลือดไปเลย.)พูดจาไม่ไพเราะ.มารยาทก็หยาบกระด้าง.โกรธง่าย แต่ก็หายโกรธได้ง่ายๆพอกัน.การต่อสู้ถึงเลือดเกิดขึ้นน้อยครั้ง เว้นแต่ไปเจอเผ่าที่เป็นศัตรูเกลียดหน้ากันมาดั้งเดิม. พวกเขา..แน่นอนที่สุด..ถึงจะดูหยาบเถื่อน ก็จิตใจดีมีอารมณ์ขัน..รักเผ่าและพวกพ้องสุดใจ.และรักความเป็นอิสระไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า.
    อาวุธของพวกเขาก็มี.ดาบ.มีดพกยาว.หอก.และปืนยาวบรรจุกระสุนทางปากกระบอก ยิงได้ทีละนัด..ระยะยิงไม่ไกลนัก..สิ่งที่ให้แรงขับไม่ใช่ดินปืนเหมือนโลกเรา.มันเป็นสิ่งที่ไม่มีเหมือนในโลก..แต่ระเบิดได้เมื่อระเบิดในที่จำกัดเช่นรังเพลิงก็ส่งหัวกระสุนออกไปได้เหมือนกัน.หัวกระสุนทำด้วยโลหะไม่แตกต่างจากตะกั่ว.ปืนยาวนี้โดยมากใช้ในสงคราม.หากล่าสัตว์พวกเขาใช้ธนูและศรถนัดกว่า.
    เหล่านักล่ตว์จะออกไปหาล่าเนื้อเสมอ.เหตุนี้ จำนวนนักรบทั้งหมดจะไม่ประจำอยู่ในเมืองพร้อมกัน นอกจากจำเป็นจริงๆ.เหล่าพรานจะออกไปหลายอาทิตย์บางครั้งหลายเดือน.แต่จะต้องมีนักรบอยู่ในเมืองอย่างน้อยพันคน เพื่อรับมืออันตรายที่อาจเกิดกระทันหัน.พวกกูราไม่ค่อยได้ยกทัพมาล้อมตีเมืองเผ่าอื่น .เมืองแต่ละเมือง ออกแบบสร้างมหึมาทนทานเข้าตียากมาก..จะล้อมให้ชาวเมืองอดข้าวอดน้ำจนต้องยอมแพ้ก็ไม่ได้. พืชอาหารส่วนใหญ่เพาะปลูกในกำแพงเมือง,และแต่ละเมืองก็เลือกที่ตั้งซึ่งต้องมีน้ำพุบริสุทธิ์ผุดขึ้นมาตลอดปีให้ได้ก่อนจึงเริ่มก่อสร้าง. เหล่านักรบพรานจะเลือกไปล่าบริเวณทิวเนินเขาที่ผมเคยต่อสู้เอาชีวิตรอด. แถวนั้นเขาว่ามีสัตว์เนื้อรสอร่อย อุดมสมบรูณ์ และพวกที่ดุร้ายกระหายเลือดก็มากมี.มีมากกว่าที่อื่นบนอัลมูริก...แม้แต่นักรบพรานที่กล้าหาญฝีมือดีที่สุด จะเข้าไปต้องไปกันเป็นโขยง.และไม่กล้าอยู่นานเกินสองสามวัน.ความจริงที่ว่าผมรอดตายอยู่ที่นั่นได้ตั้งหลายๆเดือนทำให้พวกเขานับถือยกย่องผมมากกว่าการที่ล้มกอร์ได้เสียอีก.
    โอ้.ผมเรียนรู้เรื่องของอัลมูริกมากมาย.เหตุว่า เรื่องนี้เป็นบันทึกชีวิตไม่ใช่ตำราภูมิศาสตร์ต่างดาว.ผมจะเล่าเพียงผิวเผิน.ทั้งประเพณี,ประวัติ.ตำนาน.ผมจดจำทุกสิ่งมากมายที่เขาเล่าให้ฟัง..และภายหลังเจอมาด้วยตัวเองก็มากมี..พวกกูราไม่ใช่สัตว์มีปัญญาความคิดชนิดแรกบนอัลมูริก แม้ว่าเขาจะยึดถือเช่นนี้.พวกเขาเล่าถึง เมืองร้างโบราณ.ที่กูราไม่ได้สร้าง.อนุสรณ์ของเผ่าซึ่งหายสูญไปแล้วทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่.เผ่าพวกที่หายไปแล้ว.นี้เจริญรุ่งเรืองแหละหายไปฉับพลันอย่างน่ากลัว.หายไปก่อนที่กูราพวกแรกจะขนหินมาสุมเป็นกำแพงเมือง.และสิ่งที่ผมได้เรียนรู้สิ่งที่กูราไม่รู้ เกี่ยวกับเมืองพวกนี้(เพราะเคยเหยียบเข้าไปเอง)ก็อยู่ในเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไป.
    พวกเขาเล่าถึงพวกที่คล้ายมนุษย์แต่ไม่ใช่.ที่เหลือรอดอยู่.เขาเล่าถึง "ยากา"เผ่ามนุษย์มีปีก-บินแข็ง ผิวดำ ทรงพลังและหฤโหด.อาศัยอยู่ทางใต้ ใกล้วงคาด..สร้างเมืองน่าเกรงขามชื่อเมือง ยักกา.บนหินเหลี่ยมก้อนเดียวแต่ใหญ่เท่าภูเขาหินนี้มีชื่อว่า ยุทธลา.ริมฝั่งแม่น้ำย๊อค.ในแผ่นดินที่ชื่อว่าแย๊ก,แผ่นดินนี้ยังไม่มีมนุษย์ใดย่างก้าวเข้าไปแล้วกลับมาได้ .พวกยากานี้เหล่ากูราเล่าต่อ..ไม่ใช่แค่คนมีปีก.พวกเขาคือปีศาจร้ายเพียงรูปกายมีแขนขาคล้ายคน. เป็นครั้งคราวพวกเขาจะ ยกฝูงโฉบลงมาจากฟ้าสูงลิบ.ถือดาบที่มีนามว่า ฆ่าให้สิ้น..ถือคบไฟ มีนามว่า เผาให้เกลี้ยง .เพื่อฉุดหญิงสาวกูราเอาไปเป็นทาส .และทำสิ่งเถื่อนต่างๆที่ไม่มีใครบอกรายละเอียดได้เพราะไม่เคยมีหญิงซึ่งถูกอุ้มขึ้นฟ้าไปแล้วคนไหนรอดกลับมาเล่าได้ บางคนคิดว่ายากาจับหญิงเหล่านี้ไปเป็นอาหารสัตว์เทพเจ้าตนหนึ่งที่ยากานับถือ.บ้างก็สาบานได้ว่าไม่ใช่! เพราะยากาไม่นับถืออะไรสิ่งใดนอกจากตัวเอง.แต่สิ่งที่รู้แน่เป็นจริงคือ ผู้ปกครองพวกยากาเป็นราชินีดำ.นามว่า แจสมีนา..สร้างอาณาจักรแห่งความกลัวอยู่บน หินยุทธลา..เงามืดของพระนางแจสมีนา ทอดปกคลุมไปทั้งโลกเขย่าขวัญสั่นหัวใจทุกผู้..
    เพื่อนกูรายังเล่าสิ่งอื่น..ตัวประหลาดน่าสยอง.มีหัวเหมือนหมา.สิงสู่อยู่ตามทางเดินใต้เมืองร้าง.เล่าถึงสิ่งมหีมา น่าจะตัวเท่าภูเขาเพราะ ก้าวแต่ละก้าวแผ่นดินสะเทือน.ซี่งจะออกมาแต่ในความมืดยามราตรี.ถึงดวงไฟรูปร่างคล้ายค้างคาวที่พุ่งแวบวาบไปตามท้องฟ้ายามราตรี.สิ่งที่สิงสู่อยู่ในป่าที่ทึบจนมืดเหมือนกลางคืนอยู่ตลอดเวลา.ไปไหนด้วยการคลานยามคลานไปมีเสียงหนุบหนับๆ เหมือนตัวเป็นของเหลวรูปร่างเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครบอกได้.แต่มันจะแกะรอยไล่ล่าคนที่หลงเข้าไปในชื้นแฉะของมัน จะหนียอกย้อนแค่ไหนมันตามจับกินจนได้. เล่าถึงค้างคาวตัวใหญ่ ที่แค่เสียงร้องคล้ายเสียงหัวเราะ-ใครได้ยินเข้าก็เป็นบ้าได้แล้ว.ยังมีตัวผอมๆ เดินส่ายแกว่งโยกเยก หากินตอนใกล้มืด แถบเนินเขา.แต่ละชนิดที่เขาเล่าให้ผมฟัง มันน่ากลัวเกินขนาดคนบนโลกจะได้พบต่อให้ในยามฝันร้ายไข้สูง. ชีวิตทั้งหลายบนอัลมูริก สรรหา รูปร่างให้ตัวเองได้แปลกล้ำเหลือ.และบนดาวนี้ยังไม่มีแค่ชีวิตที่เกิดตามธรรมชาติ.ไอ้พวกที่ไม่ได้เกิดตามธรรมชาติฟังดูก็น่าจะมีด้วย ..
    เอาละครับ..ผมพล่ามเล่าชีวิตคน,สัตว์ ฯลฯบนอัลมูริก..เล่าถึง.ตัวในฝันร้ายที่ได้ฟังจากพวกเพื่อนๆ.
(สำหรับพวกซึ่งในภายหลังผมมีเกียรติได้พบ,ได้ฆ่า หรือเกือบโดนมันฆ่าด้วยตัวเองจะมาพบท่านต่อไป)ยาวยืดท่านผู้อ่านคงจะเริ่มเบื่อ..ใจเย็นรอนิดเดียว.เหตุการณ์(ทั้งดีเลว,ทุกข์สุข.ไร้พิษภัยหรือมหาภัย) บนอัลมูริก มันเกิดได้เร็วแสน.และเรื่องแบบที่ "จนตรอกมองไม่เห็นทางรอด.แบบมีแต่ตายกับตาย ได้สบตากับยมฑูต..แต่กลับมาเล่าให้คนอื่นฟังได้"ที่เกิดกัับผมบนนี้ ถึงคราวมันจะมามันมาเร็วพอๆกัน.
    หลายเดือนทีเดียวที่ผมได้มาเป็นชาวโคธ,วางตัวเหมาะเจาะ กับวันเวลาที่ใช้ไปในการล่าสัตว์,หัวราน้ำสนุกสนานในวงเหล้า.ทะเลาะชกต่อย.เหมาะเจาะยังกับเกิดมาบนดาวนี้.ไม่ได้มาจากโลก.ชีวิตที่ไม่มีกฏบีบบังคับเยอะแยะไปหมดล่ามตรึงไว้เหมือนบนโลก..ยังไม่เคยทดสอบก็แต่ออกรบระหว่างเผ่า. มีเรื่องให้ผมใช้มือเปล่าต่อสู้ไม่ขาดหรอก.ท้าทายชกต่อยในหมู่เพื่อนแบบไม่เอาเป็นเอาตาย.หรือตอนแต่ละคนเมามายในวงเหล้าตะโกนด่าข้ามโต๊ะเปื้อนคราบเหล้ามาใส่กัน..ผมเบิกบานนักในชีวิตใหม่นี้.ในโคธเหมือนตอนที่ผมอยู่ที่แนวเนิน.ผมทุ่มเทกำลังและไหวพริบลงหมดตัว.แต่ในเมืองโคธ ผมมีเพื่อนเป็นมนุษย์.มนุษย์แบบที่เหมาะกับนิสัย(ที่แปลกคน) ของผมนัก.ผมไม่ต้องการเสพย์ศิลปะ.อ่านวรรณคดี.หรืออะไรที่มันต้องเสียสมองมากมายเกิน. ผมล่าสัตว์. กินอาหารจนท้องกาง,ชกต่อยต่อสู้, ผมกางแขนทรงพลังของตัวเองโอบกอดชีวิตเช่นนี้ไว้อย่างแสนรักแสนสุข..กระทั่งเกือบจะลืม,เจ้าของร่างอ้อนแอ้นแบบบาง.ที่นั่งเฝ้าติดตามฟังผลการตัดสินชะตาชีวิตผมจากสภานักรบอย่างใจจดจ่อตลอดคืนใต้โดมใหญ่ของห้องประชุมเผ่าในคืนก่อนโน้น...........
              บทที่05
    วันนั้นผมกลับจากล่าสัตว์ .ออกไปนอกกำแพงคนเดียวแบบนี้ ผมไปค้างแรมครั้งละหลายวัน .กลับมาถึงทุ่งราบ แต่ก็ยังห่างโคธหลายไมล์. ยังมองไม่เห็นกำแพงสูงพ้นยอดหญ้าทุ่งราบมาด้วยซ้ำ. ย่ำช้าๆไม่เร่งรีบปืนยาวอยู่ในวงแขน.ตอนนั้นจำไม่ได้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไร.น่าจะกำลังพิจารณารอยเท้าสัตว์ใหญ่ที่เหยียบย่ำหญ้าสูงริมน้ำจนราบไปเป็นทาง.หรือกำลังเงยหน้าสูดดมกลิ่นสัตว์ที่อาจเป็นภัยซึ่งลอยมาจากทางเหนือลม..
    ไม่ว่าตอนนั้นจะคิดอะไร,เสียงกรีดร้องดังขึ้นทางด้านหนึ่งทำให้ผมรีบหันไปดู.หญิงร่างอ้อนแอ้นคนหนึ่งวิ่งสุดชีวิตตรงมาหาผม.ข้างหลังเธอ.ไล่กวดมาจวนจะทัน.คือ นกกินเนื้อขนาดใหญ่ซึ่งบินไม่ได้,แต่วิ่งได้เร็วมากนกแบบนี้เป็นสัตว์ที่มีอันตรายยิ่งชนิดหนึ่งบนทุ่งหญ้า.สูงสิบฟุต.ท่วมหัวคนทีเดียว.ขายาวลักษณะก็เหมือนนกกระจอกเทศบ้านเรา แตกต่างตรงที่จงอยปากซึ่งออกแบบมาใช้ฉีกเนื้อยาวสามฟุต.ปลายแหลม.และหยักเป็นฟันเลื่อย..ปากแบบนี้จิกทีเดียวคนขาดสองท่อน.และเล็บคมที่เท้าก็ฉีกคนง่ายเหมือนฉีกกระดาษ.
    ภูเขาแห่งการทำลายนี้วิ่งไล่กวดหญิงสาวมาด้วยความเร็วแสน.มองปราดเดียวผมก็บอกได้ว่า ถึงผมจะวิ่งเข้าไปเร็วแค่ไหนก็ไม่มีหวังจะถึงตัวหล่อนก่อนมัน..แช่งด่าโชคชะตาที่ตอนนี้เหลือวิธีเดียวที่จะช่วยหญิงคนนี้ คือต้องพึ่งฝีมือยิงปืนซึ่งไม่ได้แม่นยำอะไรนักของตัวเอง.ผมยกปืนประทับบ่าพยายามเล็งอย่างนิ่งและปราณีตที่สุด.ร่างของหญิงคนนี้อยู่ในทางของกระสุน..ผมเล็งที่ร่างหมึมาของมันไม่ได้,อาจจะยิงโดนเธอ.ต้องเสี่ยงเล็งไปที่หัวนกซึ่งผลุบโผล่ ขึ้นลงตามจังหวะก้าว.เหนือหัวคน..
    เป็นโชคมากกว่าความแม่น.ผมยิงไม่พลาด.เมื่อสิ้นเสียงปืน.หัวใหญ่โตผงะกลับเหมือนวิ่งโขกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น.ปีกสั้นๆของมันกระพือพึ่บพั่บ,ร่างมันซวนเซ แล้วก็หัวปักทิ่มลงดิน.
    หญิงสาวล้มลงเกือบจะทันที.เหมือนโดนกระสุนด้วย.ผมรีบวิ่งไปหา.พลิกตัวหล่อน.ประหลาดใจไม่น้อยเลย หญิงสาวคนนี้คือ อัลตา.ลูกสาวของซาล.ดวงตาดำงามซึ้งมองช้อนสบตาผม สายตาเป็นปริศนาชอบกล. แน่ใจว่า หล่อนไม่เป็นอันตรายอื่น นอกจากเหนื่อยหมดกำลังและกลัวขวัญหนีดีฝ่อ.ผมหันไปดูนกยักษ์ มันตายสนิท มันสมองไหลออกมาทางรูลูกปืน.
    หันมาหาอัลตา.ผมดุเธอเสียงเครียด
    “เจ้าออกมาทำไมนอกเมือง?” ผมถาม "บ้าไปแล้วหรือ.ออกมาข้างนอกคนเดียวแบบนี้?”
    หญิงสาวไม่ตอบ,แต่ผมมองเห็นความเจ็บปวดที่ดวงตาดำขลับคู่นั้น,เสียใจวูบขึ้นทันทีที่ใช้เสียงหยาบกระด้าง.ผมคุกเข่าลงข้างหล่อน.
    “ เธอเป็นคนแปลกนะอัลตา" ผมพูด "เธอไม่เหมือนหญิงโคธคนอื่น.เขานินทาว่าเธอน่ะ เจ้าอารมณ์เอาแต่ใจตัว.ดื้อรั้นไม่มีเหตุผล.ข้าไม่เข้าใจเลย.เสี่ยงชีวิตออกมาใกลขนาดนี้ทำไม?”
    “ตอนนี้จะทำอะไรกับฉันล่ะ" หล่อนถาม
    “ทำอะไร?ก็คุ้มกันพากลับโคธเท่านั้น"
    นัยน์ตาของหล่อนคุโชนอย่างประหลาด
    “ท่านจะพาข้ากลับเมือง.พ่อก็จะเฆี่ยนตีข้า.แต่ข้าจะหนีอีกมาอีก..พากลับกี่ครั้งก็หนีออกมาอีก"
    “จะหนีไปไหน?”ผมสงสัยมาก"ข้างนอกไม่มีที่จะไป..ออกนอกเมืองไม่นานสัตว์ร้ายจะฉีกเนื้อเจ้ากิน"
    “งั้นก็"หล่อนตอบ"ฉันคงอยากโดนฉีกกินมั้ง"
    “เมื่อกี้วิ่งหนีนกฟ้าร้องทำไมล่ะ?”
    “สัญชาติญาณเอาตัวรอดมันแก้ยากแฮะ" หล่อนยอมรับ
    “โอย"ผมจนปัญญา "ทำไมถึงจะอยากตายน้อ.หญิงโคธทุกคนมีความสุขนะเจ้าก็มีเหมือนคนอื่น"
    หล่อนเบนสายตาจากผม เหม่อมองไปที่ทุ่งราบรอบๆ
    “ มีชีวิต เพื่อ"กิน"“ดื่ม" และนอนแค่นั้นมันไม่พอ" หล่อนตอบด้วยสำเนียงประหลาด" สัตว์ที่ไหนมันก็ทำกัน"
    ผมยกมือเกาหัวยังนึกอะไรไม่ออก..อยู่บนโลกเดิม ได้ยินคำทำนองนี้มามากได้ฟังจากปากคน.ได้อ่านจากหนังสือ.ดูจากในหนัง....คำทำนอง" มีชีวิตแค่กิน,ถ่าย,สืบพันธุ์ สัตว์มันก็ทำกัน-ชีวิตคนมันต้องมีมากกว่านี้" ประโยคจำพวกนี้.บนอัลมูริกเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกที่นี่.
    อัลตาพูดต่อ ตามองไปไกล เสียงแผ่วเบาเหมือนพูดกับตัวเอง ไม่ได้พูดกับผม..
    “ชีวิตนี้ยากเกินสำหรับฉัน.เหมือนว่าฉันเกิดมาไม่เหมาะกับชีวิตนี้.บางทีก็เจ็บปวดจากเหลี่ยมคมของชีวิตเอาง่ายๆ..ฉันมองหาสิ่งซี่งไม่มีอยู่ และคงไม่เคยมีอยู่"
    ฟังเธอพูดแบบนี้ ผมชักไม่สบายใจ.ผมลูบผมเธอจับหน้างามนั้นให้แหงนขึ้น.เพื่อจะพิจารณาให้ชัดเจน.นัยน์ตาเป็นปริศนาของเธอสบสู้ตาผม.มีประกายแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน.
    “ชีวิตฉันยากอยู่แล้ว ก่อนคุณมา.”หล่อนพูด"ตอนนี้ยิ่งยากกว่า"
    ตกใจจากคำนี้ ผมปล่อยผมเธอ อัลตาหันไปมองทางอื่น"
    “ผมไปทำอะไรให้ชีวิตคุณลำบาก?” ผมถามอย่างสงสัยเต็มที
    “ชีวิตควรจะมีแค่นี้หรือ?”หล่อนพึมพำต่อ"ชีวิตตั้งแต่เกิดและตายเรามีแค่นี้หรือ?ไม่มีอะไรอีกหรือนอกเหนือความต้องการทางวัตถุ?”
     ผมได้แต่เกาหัว ยังไม่เข้าใจว่าอัลตาต้องการพูดอะไร
    “ “คือ..”ผมตอบ "บนโลกเก่าของผมน่ะนะ.ผมพบหลายๆคนที่พยายามตามหาฝันหรือทำสิ่งที่ตนยึดเป็นอุดมคติ-ทำให้ได้. มีพวกไม่พอใจแค่กินถ่ายสืบพันธุ์และนอนไม่น้อยหรอก.แต่พวกนี้ผมไม่เคยเห็นชีวิตเขาจะมีสุขสักคน.บนโลกเดิมผมมีการตามหา.คลำหาสิ่งที่มองไม่เห็นบอกไม่ถูกเพราะยังไม่มีชื่อ.ไม่มีตัวตนตามองไม่เห็นอยู่หรอก โดยเฉพาะคนฉลาดๆแต่ผมว่า ชีวิตบนอัลมูริกดีกว่า"
    “ได้พบคุณครั้งแรก ฉันคิดว่าคุณแตกต่างจากชายกูราอื่น”หล่อนยังเหม่อมองไปไกลไม่สบตาผม.”ครั้งเมื่อฉันเข้าไปแอบดูคุณนอนบาดเจ็บสาหัส.มือขาติดโซ่.ผิวหนังคุณเรียบไร้ขน.ดวงตาคุณมีแววครุ่นคิดประหลาด.ฉันคิดว่า คุณคงจะต้องมีความสุภาพนุ่มนวลกว่าชายอื่น.แต่ที่สุดคุณก็หยาบกระด้าง ดุดันเหมือนคนอื่นๆ.ใช้เวลาวันและคืนไปในการฆ่าสัตว์.ชกต่อยผู้คน.เมามาย.”
    “แต่ชายโคธก็ทำแบบนี้ทุกคน” ผมแย้ง
    อัลตาพยักหน้า“ใช่..ฉันถึงไม่เหมาะกับชีวิตไง และตายไปเสียดีกว่า”
    ผมยืนตะลึงหน้าชาด้วยความอับอาย ระลึกได้ทันทีว่าในสายตาหญิงโลกมนุษย์ชีวิตบนอัลมูริก มันแคบ.โหดเถื่อน.แทบจะทนไม่ได้แน่ แต่ในสายตาหญิงอัลมูริกความรู้สึกแบบนี้มันเกิดมีได้ยังไง?หากหญิงกูรา ต้องการความนุ่มนวลสุภาพจากฝ่ายชาย พวกหล่อนก็ไม่เคยร้องขอ.หล่อนพอใจแล้วที่มีหลังคาคุ้มหัว.ได้รับการปกป้องจากปวงภัย.และยินยอมมอบกายมอบใจให้กับฝ่ายชายที่หยาบกระด้าง.ผมพยายามหาคำพูด.แต่หาไม่ได้ ผมไม่ค่อยชำนาญการพูดเรื่องเข้าใจยากๆ..ทันทีทันใดรู้สึกถึงความหยาบเถื่อนกระด้างของตัวเอง.มันฟาดผมเต็มเปาหนักยิ่งกว่ากำปั้น ต้องยืนงงไปไหนทำอะไรไม่ถูกด้วยความละอายใจ
    ไม่รู้จะพูดอะไร,ผมเอ่ยได้แค่ว่า "ผมจะพาคุณกลับโคธ"
    หล่อนยักไหล่งดงามได้รูป. "ไปถึงก็เชิญคุณไปดูพ่อเฆี่ยนฉันจนยับไปทั้งตัวด้วยนะ.ดูให้สนุก-พกเหล้าไปกิน ร้องเชียร์ไปด้วยก็ได้"
    ได้ยินคำนี้ของหล่อนผมหาคำตอบได้ทันที..”เขาจะไม่เฆี่ยนคุณ..ถ้าซาลแตะตัวคุณ ผมจะเตะให้หลังหัก"
    อัลตาช้อนตาสบตาผมฉับพลัน,นัยน์ตาเบิกกว้างแสดงความสนใจอย่างที่สุด..แขนผมมันหาทางสอดโอบเอวอ้อนแอ้นของหล่อนได้ยังไงไม่แน่ใจ.ผมจ้องตาหล่อน,ผมก้มหน้าลงหา,อัลตาเงยหน้าขึ้น.ผิวเราจวนสัมผัสกัน..ริมฝีปากของหล่อนเผยอ...หากวินาทีที่น่าใจหายนี้เนิ่นช้าไปอีกนิด..ผมก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..ทว่าในทันที อัลตาหน้าซีดเผือด.และจากปากงดงามที่เผยอ เสียงกรีดร้องวี้ดออกมา..นัยน์ตาจ้องไปที่บางสิ่งเหนือหัวด้านหลังของผม.และเสียงพึ่บพั่บของปีกใหญ่ก็ดังขึ้นรอบๆเรา.
     ผมหันไป.บนอากาศรอบๆเต็มไปด้วยรูปร่างสีดำ.พวกยากา! มนุษย์ปีกของอัลมูริก! สิ่งที่ผมเชื่อว่า เป็นแค่ตัวในนิยายหลอกเด็ก; มันมาให้พบมาให้เห็นแล้ว ตัวจริงเสียงจริง.มาด้วยความน่าสยอง เต็มรูปแบบตามคำเล่าลือ.
    ผมผลุดลุกขึ้นยืน.จับกระบอกปืนที่ยังไม่ได้บรรจุกระสุน.เหมือนกระบอง.กวาดตาพิจารณา วางแผนตอบโต้ ศัตรูจากเวหา.พวกเขา.สูง,ผอม.แต่เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อแสดงถึงความแข็งแรงไม่เบา.ผิวสีดำเหมือนถ่าน.ทั่วๆไปก็เหมือนมนุษย์ แต่มีปีกเป็นหนังเหมือนปีกค้างคาว กว้างใหญ่งอกออกมาจากตรงไหล่..ทั้งตัวนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว.ถือดาบสั้นปลายโง้ง.
    ผมเขย่งเท้าขึ้นเมื่อยากาตนแรกโฉบลงเงื้อดาบโง้ง.ฟาดฟันลงมา.ผมรับดาบนี้ด้วยพานท้ายปืนที่เหวี่ยงสวนขึ้นไป พานท้ายปืนร้าว.แต่กระโหลกรูปยาวแคบของเขาแตกปลิวว่อนเหมือนเปลือกไข่.วินาทีต่อมา พวกเขากระพือปีกพึ่บพั่บล้อมผม.ปลายดาบโง้ง แทงเข้ามารอบด้านเหมือนประกายสายฟ้า.แต่ปีกของพวกเขานั่นแหละมันขวางทางกันเอง.
    เหวี่ยงปืนยาวรอบๆเป็นวง ดาบหลายเล่มที่แทงลงมา หักปลิวว่อน .ระหว่างการแลกเปลี่ยน"ของ" กันอย่างดุเดือด ผมก็ฟาดหัวอีกตัวแต่ไม่แรงพอจะฆ่าแรงแค่ทำให้มันร่วงลงมาสลบ.และแล้วเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังก้องขึ้นข้างหลัง.และการโจมตีของยากาก็เบาลงในฉับพลัน.
    ยากาทั้งฝูง บินผละไป.มุ่งหน้าไปทางใต้อย่างรวดเร็ว..ผมยืนตะลึงตัวชา..ในวงแขนของยากาตนหนึ่ง.ร่างแน่งน้อยผุดผาด ดิ้นรนสุดกำลัง..ยื่นแขนมาหาผม อ้อนวอนขอความช่วยเหลือ...อัลตา!พวกมันฉกตัวเธอไปจากด้านหลังผม..อุ้มบินไปสู่นรกขุมไหนก็ไม่รู้ บนเมืองบนก้อนหินดำของพวกมันไกลออกไปทางใต้..บินได้เร็วมาก จนตอนนี้ก็ลับตาผมไปแล้วทั้งกลุ่ม.
    งงงัน ทำอะไรไม่ถูก.ผมรู้สึกมีการเคลื่อนไหวที่ปลายเท้า.ยากาตนที่ผมฟาดสลบเริ่มรู้สึกตัว มันยันร่างขึ้นนั่ง มือคลำหัว.ผมยกปืนยาวที่ยังเหลือเป็นเศษ.จะฟาดให้หัวเละ เพราะความคลั่งแค้นจนปัญญา ทันใดก็ได้ความคิด ความคิดจากที่เห็นพวกมันอุ้มอัลตาบินขึ้นฟ้าไปอย่างง่ายๆ.
    ชักมีดออกมา.ผมกระชากยากาตนนั้นขึ้นยืน.ยืนเต็มตัวแล้วมันสูงกว่าผมอีก .ไหล่กว้างพอๆกับผม.แม้ว่าแขนขาจะ เล็กและเป็นเส้นเอ็นมากกว่าเป็นมัดกล้ามแบบผม. ดวงตาสีดำ เฉียงเล็กน้อย.มองผมไม่กระพริบเหมือนตางูพิษร้าย.
    พวกกูราบอกผมว่า พวกยากา พูดภาษาคล้ายคลึงกับพวกเขา
    “แกต้องพาข้าบินตามพวกแกไป" ผมพูด
 เขายักไหล่ ตอบด้วยสำเนียงกร้าวๆ
    “ข้ารับน้ำหนักแกไม่ไหวแน่"
    “ ไม่ไหวก็ซวยซี" ผมตอบแค้นๆ.จับตัวเขาหันหลัง.กระโดดขี่หลัง.ไขว้สองขาไว้ที่เอว,มือซ้ายรัดคอ.มีดในมือขวาจิ้มลงไปที่สีข้างลึกพองาม. ยากา รับน้ำหนักตัวผมได้เขาไม่ล้มคว่ำ.เขากางปีกกว้างออกกระพือพึ่บๆประคองตัวไม่ให้ล้ม.
    “บินขึ้นไป" ผมคำรามข้างหูเขา.จิ้มปลายมีดลึกลงไปอีก. “บิน,ให้ตายห่าซี บิน!.ไม่งั้นข้าควักหัวใจเดี๋ยวนี้แหละ"
    เขาเริ่มกระพือปีก.เราทั้งคู่ค่อยๆลอยขึ้นจากพืื้นดิน.มันน่าสนุกหรอกขี่ยากาแบบนี้.แต่ตอนนั้นผมไม่มีเวลาสนุก,โกรธเคืองแค้นสาหัสทั้งเป็นห่วงอัลตา.
    เมื่อเราขึ้นมาถึงระดับพันฟุต,ผมมองหากลุ่มยากา.มองเห็นแค่เป็นจุดๆดำๆไกลออกไปบนท้องฟ้าทิศใต้ ผมกระตุ้นม้าบินที่ขับขี่อยู่ให้ตามไป.
    แม้ว่าผมจะพยายามบังคับให้เร่งความเร็วแค่ไหน.จุดพวกนั้นก็หายลับไปไม่ช้า.ผมไม่วิตกนักบังคับให้มุ่งใต้ต่อไป.ถึงจะไล่ไม่ทันตอนนี้. ในที่สุดก็ต้องไปถึงหินใหญ่สีดำที่ตำนานบอกว่า เป็นเมืองของยากา..ถึงแล้วค่อยวางแผนต่อไป.
    ได้รับแรงบันดาลใจจากปลายมืด.พาหนะบินของผมทำเวลาได้ไม่เลว.ถ้านึกว่าเขาต้องรับน้ำหนักตัวใหญ่โตด้วยมัดกล้ามของผม.เราผ่านทุ่งหญ้าไปหลายชั่วโมง,ถึงตอนบ่ายแก่ๆ เราบินอยู่เหนือป่าใหญ่.ต้นไม้แต่ละต้นสูงลิบลิ่วแผ่ตระหง่าน.นี่เป็นป่าไม้ดงดิบแห่งแรกที่ผมพบบนอัลมูริก.
    จวนจะค่ำนั่นแหละผมถึงเห็นชายป่า.บนทุ่งหญ้าพ้นป่าออกไปไม่ไกล.มีเมืองร้าง.ควันไฟเล็กๆม้วนอ้อยอิ่งขึ้นมาที่จุดหนึ่งในซากนครนี้.ผมถามว่า เป็นควันจากกองไฟที่พวกเขาก่อปรุงอาหารใช่ไหม.เขาตอบแค่เสียงคำราม.
    เราบินผ่านเหนือป่าในระดับต่ำ.เมื่อเสียงสัตว์คำรามสนั่นเบื้องล่าง ทำให้ผมหันไปมอง.เราอยู่เหนือ ที่ว่างพื้นที่เล็กๆ .มีการต่อสู้ที่นี่..ระหว่างไฮยีนาฝูงหนึ่งกับตัวคล้ายม้ามีเขาหนึ่งเขาที่หน้าผากคล้ายม้ายูนิคอร์นในเทพนิยาย  แต่โตใหญ่กว่าควาย.ซากไฮยีน่า ครึ่งโหลที่แหลกเหลวอยู่ เป็นพยานถึงความดุร้ายของม้ามีเขานี้.และเมื่อผมก้มลงมอง มันก็ใช้เขาเสียบไฮยีนาตัวสุดท้ายสบัดหัวไปมาแล้วก็สลัดซากที่แหลกเหลวลอยขึ้นมาหลายฟุต.
    ผมมัวไปมองภาพนี้เพลิน,และคงจะผ่อนแรงรัดคอยากา.เพราะทันใดนั้นเขาสบัดตัวหกหน้าหกหลังรุนแรง.สะบัดผมหลุดจากหลังได้, โดนเข้าไม่ทันระวังผมรีบคว้าแต่คว้าได้แต่อากาศ,ร่วงลงดิน,ตกตุ๊บลงบนแผ่นดินที่เป็นหญ้าหนานุ่ม.ตรงหน้าม้ามีเขาที่กำลังบ้าเลือดพอดิบพอดี.
    แวบเดียวผมมองเห็นร่างเหมือนภูเขาของมันผงาดอยู่เหนือผมแล้ว.ก้มหัว งัดเขาแหลมยาวมาที่อกผม.ผมคุกเข่าขึ้น มือซ้ายจับเขาแหลมได้ก่อนจะปักอก พยายามดันให้พ้นทาง.มือขวาแทงมีดในมือเข้าไปที่เส้นเลือดใหญ่บนคอมัน.แล้วก็มีแรงปะทะแสนหนักที่หัว.ผมสิ้นสติไปฉับพลัน.
     
    บทที่ 06
    ผมคงสิ้นสติไปไม่นานนัก.เพราะเมื่อฟื้นสติ.ความรู้สึกแรกก็มีน้ำหนักมหาศาลทับอยู่บนตัว.พบว่าตัวเองนอนอยู่ใต้ร่างไร้ชีวิตของม้ามีเขา.ในขณะที่มีดผมตัดเส้นเลือดใหญ่ของมัน โคนเขาคงจะกระแทกหัวผม.เมื่อมันล้มลง, ถ้าบริเวณนี้ไม่มีหญ้าเน่าๆสุมหนา ผมคงตัวแบนไปแล้ว.จะดันเอาตัวหลุดออกมาได้จากน้ำหนักขนาดนั้น ไม่ง่ายนัก.ในที่สุดผมก็ออกมาจนได้ ยืนเหนื่อยหอบ.เนื้อตัวเขียวช้ำ.เลือดที่ยังไม่แห้งสนิทของมันเปื้อนลงมาตั้งแต่เส้นผมถึงแขนขา.สารรูปตัวตอนนี้คงมองดูน่าเสียวสยองอยู่.แต่มัวพะวงแต่รูปกายไม่ได้แล้ว.พาหนะบินของผมหายไปแล้ว.และรอบกายต้นไม้สูงใหญ่ล้อมไปหมด.
    ผมเลือกต้นไม้ที่สูงที่สุด.ปีนขึ้นไปเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้,บนกิ่งยอด,มองไปรอบๆป่า.ดวงตะวันกำลังตก.มองไปทางใต้พบว่า เดินเร็วๆสักชั่วโมงก็พ้นป่า..ควันไฟยังอ้อยอิ่งอยู่ที่ซากเมืองร้าง.และผมก็เห็นยากาตัวที่แบกผมมาเพิ่งจะบินลงไปที่ควันนั้น.เหตุใดเขาถึงเพิ่งบินจากไป?คงรอดูว่าผมจะรอดตายหรือไม่อาจจะแค่ต้องหยุดพักปีกที่ต้องแบกคนตัวหนักๆมานาน.
    ผมแช่งด่าในใจ.ตอนนี้หมดโอกาสที่จะแอบเล่นงานพวกมัน.พวกมันรู้ตัวแล้วว่าศัตรูตามติดจี้มา...แล้วก็ต้องแปลกใจ.เกือบจะทันใดที่ยากาบินหายลงไปในกลุ่มซากหักพัง เขาก็บินกลับขึ้นมาทันที,พรวดขึ้นมาอย่างกับจรวด  มุ่งหน้าไปทิศใต้อย่างรีบเร่ง.ทำไมเขาต้องทำอย่างนั้น?หากได้พบพรรคพวกที่เมืองร้าง.ทำไมไม่บินลงไปสมทบ? หรือว่าพบว่าพรรคพวกบินไปแล้ว.และออกบินตามไป.แต่ทว่า ท่าทางบินขึ้นของเขามันแปลกๆ.จากตอนแรกที่โฉบลงอย่างใจเย็นๆ.ตอนบินขึ้นนี่ยังกับบินหนีตาย.
    ผมสั่นหัว เลิกขบคิด.ลงจากต้นไม้และวิ่งเหยาะๆไปทางเมืองร้าง,จะมีเสียงกรอบแกรบเรียกแขกล่อเป้าดังแค่ไหนผมไม่กังวลแล้ว,เสียงส่ำสัตว์ที่ชักระงมยามใกล้มืดค่ำ ก็ไม่ฟัง.
    เมื่อผมพ้นป่าความมึดปกคลุม.แต่คืนนี้คืนเพ็ญดวงจันทร์ดวงโตของอัลมูริกส่องแสงนวลลงมายังทุ่งราบ..ซากเมืองที่ว่า อยู่ไม่ไกล.กำแพงไม่ได้สร้างด้วยหินเขียวก้อนใหญ่หยาบเหมือนเมืองของพวกกูรา.เมื่อผมเข้าใกล้ไปอีก ก็พบว่า มันทำด้วยหินอ่อน.ผมชักไม่สบายใจ,นึกได้ถึงตำนานหนึ่งที่ฟังจากเพื่อนเมืองโคธ เล่าถึงนครโบราณสร้างจากหินอ่อนงดงาม.นครร้างหักพังที่ไม่รู้ว่าใครสร้าง.แต่บัดนี้เป็นที่สิงสู่ของภูติพราย.เมืองแบบนี้จะมีอยู่ทั่วๆไป ตามที่เปลี่ยวร้าง..มาจากไหนได้ไงผู้ใดสร้าง.ไม่มีใครรู้.
     เมื่อผมก้าวเข้าไปในกำแพงที่ถล่มแยกเป็นรูเป็นช่อง,ระหว่างเสาหินอ่อนต้นมหึมาที่หักพังลงระเกะระกะ.ความเงียบ!แต่ไม่ใช่แบบเงียบสงบมันเงียบแบบเครียดขมึงรอจ้องล้างผลาญ .เงามืดของกำแพงและเสาใหญ่ๆ พวกนี้มันทึบยังกะเป็นของเหลว.ผมอาศัยเงามืดพวกนี้ เคลื่อนกายไป จากเงาหนึ่งไปเงาหนึ่ง ลึกเข้าไป.นำหน้าด้วยดาบในมือ.เตรียมพร้อมรอทุกสิ่งตั้งแต่การดักซุ่มของพวกยากาไปถึงสัตว์กินเนื้อที่ซ่อนอาศัยในนี้..ความเงียบตรงนี้มันเงียบยิ่งกว่าเงียบตรงไหนในอัลมูริกที่เคยพบมา.ไม่มีเสียงเสือสิง คำรามจากที่ใกล้ไกล.นกกลางคืนก็ไม่ได้ยินเสียงสักตัว.มันเงียบราวกับผมเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่บนโลกที่ชีวิตอื่นตายไปสิ้น.
    ผมมาถึงที่ว่างกว้างล้อมด้วยเสาหัก.ตรงนี้เดิมคงเป็นพลาซ่าของเมือง.ผมต้องหยุดชะงัก.ขนลุก.
    กลางพลาซ่า มีกองไฟที่ยังไม่มอดดับสนิท กองไฟแบบที่พวกพรานก่อขึ้นย่างเนื้อที่ล่ามาได้.ยากากลุ่มนั้นคงพักก่อไฟเตรียมอาหารมื้อค่ำ--- เตรียม,แต่ยังไม่ทันได้กิน..พวกเขา.ไม่!ชิ้นส่วนพวกเขาเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นให้คนใจแข็งเท่าไรมาเห็นก็ต้องขนลุก.
    ไม่เคยเห็นเศษซากของการฆ่าทำลายแบบนี้มาก่อน..แขนขา.หัวขาดแยกเขี้ยวยิงฟัน.ชิ้นเนื้อ.ตับไตไส้พุง. กองเลือด..กระจัดกระจายไปทั่วพลาซ่าร้างตรงนั้น.แสงจันทร์ส่องต้องหัวยากาแสยะแยกเขี้ยว.ดวงตาโพลงสะท้อนแสงจันทร์. มี "บางสิ่ง"ออกมาหายากาพวกนี้ ขณะพวกเขากำลังก่อไฟเตรียมอาหาร.จับพวกเขาฉีกแขนฉีกขา.ที่เศษเนื้อมีรอยฟันแทะ..กระดูกบางชิ้นมีรอยทุบแตก คงจะทุบเพื่อดูดไขกระดูกกิน.
    ความเย็นเฉียบวิ่งตามสันหลังของผม.มีสัตว์อะไรบ้างนอกจากมนุษย์ที่รู้จักทุบกระดูกเหยื่อเพื่อดูดกินไขกระดูก? และการฉีก,กระชาก,ทุบ.ร่างแต่ละร่างออกมาโยนเกลื่อนแบบนี้ก็ไม่ใช่น่าเป็นฝีมือสัตว์,มันเหมือนการฆ่าล้างแค้นฝังใจเข้ากระดูกกันมากกว่า.หรือไม่ก็เป็นฝีมือสิ่งที่มีปรกตินิสัยดุเดือดกระหายเลือดทารุณเหลือแสน.
    โอ!อัลตาล่ะ?หล่อนอยู่ไหน?หรือเป็นอะไรไปแล้ว,ผมไม่พบร่างหรือชิ้นส่วนของหล่อนอยู่ในกลุ่มยากา .เมื่อมองไปที่เส้าไม้เหนือกองไฟ มีชิ้นเนื้อก้อนใหญ่สุกๆดิบๆฉี่ฉ่ารูปลักษณะเหมือน..เหมือนชิ้นส่วนคนผมตัวสั่นอีก...ลือกันว่ายากากินเนื้อมนุษย์.ข่มความประหวั่นและห่วงแสนห่วง..ผมเข้าไปพิจารณาซากน่าสังเวชนั้น..เป็นเนื้อมนุษย์แน่นอน-เนื้อส่วนแขน.ผมถอนใจโล่งอกไปครั้งหนึ่ง แขนข้างนี้นี้มีมัดกล้ามหนาทึบผิวก็ดำ.ไม่ใช่เนื้อขาวนิ่มของสตรี.พอได้เห็นการย่างคนกินแบบนี้ ผมก็หายเวทนายากากลุ่มนั้น.
    ลูกสาวซาลอยู่ไหน?หล่อนหนีรอดจากการฆ่านี้ไปได้หรือ?ไปแอบซ่อนอยู่ในซากเมืองหรือ? หรือว่าพวกผู้ฆ่าจับหล่อนไป.มองหาร่องรอยไปรอบๆรู้สึกเสมอว่ามีผู้จ้องมองอยู่ในความมืดอย่างประสงค์ร้ายจำนวนไม่น้อย.
     ผมวนหาร่องรอยอยู่ที่พลาซ่าชั่วขณะ.ก็เห็นรอยหยดเลือดเป็นทางไปตามเสาหักๆคดเคี้ยว.ผมตามรอยนี้ไป เพราะไม่รู้จะไปทางไหนอีก.อย่างน้อยมันคงนำผมไปพบกับพวกที่ฆ่ามนุษย์บิน.
    ผมผ่านไปใช้เงามืดของเสาเป็นกำบังจากเงาหนึ่งสู่อีกเงา..เสาโงนเงนหักพังนี้แต่ละต้น ใหญ่จนเอาตัวผมไปเปรียบเป็นคนแคระไปเลย.ไปถึงอาคารใหญ่หักพัง บนหลังคาที่ถล่มลงมาบางส่วนมีตะไคร่คลุมหนา.แสงจันทร์จ้าคืนเพ็ญส่องเข้าไปข้างในทางรอยแยกที่หลังคาและหน้าต่าง.แสงจันทร์ส่องให้ผมเห็นรอยเลือดหยดลึกเข้าไปในอาคาร.แต่ก้าวพ้นแสงจันทร์เข้าอาคารมืดมิด จนผมต้องเอามือคลำทางไปตามกำแพง และก็เกือบจะตกบันไดคอหัก..เมื่อบุกลึกเข้าไปผมคิดว่าจะถอยหลังหาทางอื่น.ก็ได้ยินเสียงที่เหมือนไฟฟ้าช๊อตหัวใจ.กระตุ้นความโกรธแค้นบ้าเลือดออกมาระดับสูง.จากความมืด.แผ่วเบาและห่างไกล.มีเสียงเรียก "เอสู!เอสู เคอร์น!”
    อัลตา! ใครอื่นแถวนี้จะรู้จักชื่อผม?แต่ในความดีใจที่รู้ว่าหล่อนยังมีชีวิตเหตุใดแฝงความพรั่นพรึงเย็นเยียบ? . ผมเกือบจะร้องตอบ.ทันใดสัญชาติญาณระวังภัยเตือนผมไม่ให้ร้องออกไป.อัลตาจะรู้ได้อย่างไรว่า บัดนี้ผมไล่ตามมาจวนถึงหล่อนจนได้?..น่าจะเหมือนเด็กหญิงน้อยๆที่ตระหนกขวัญหายสุดๆส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน.ร้องเรียกออกไปถึงจะรู้ว่าเขาคนนั้นอยู่แสนไกล.ผมวิ่งเร็วเท่าที่กล้าทำไปตามทางเดินมืดมิด.เริ่มรู้สึกสอิดสเอียนประหลาด.
    ใฃ้มือซ้ายคลำทางมือขวาถือดาบ ผมคลำพบกรอบประตู.ประตูนี่ไม่มีบานปิด มันเปิดเข้าไปสู้ความมืด มืดยิ่งกว่าที่ทางเดิน.รู้สึกด้วยสัญชาติญาณของสัตว์ ว่าในห้องนั้นมีสิ่งมีชีวิต.ผมพยายามเพ่งมองเข้าไปในความมืด.ร้องเรียกชื่อ อัลตาเบาๆ..ในฉับพลัน แสงสองจุดสว่างเรืองขึ้นในความมืด.แสงสองจุดที่ผมนึกอยู่สักวินาทีถึงรู้ว่ามันคือดวงตา.สีเหลือง ห่างกันเท่าฝ่ามือผม.รูปกลม แกว่งๆชอบกล. ด้านหลังดวงตาผมเห็นเหมือนก้อนดำมหึมา ระบุรูปทรงไม่ได้แน่ชัด. มีคลื่นความหวาดกลัวซัดใส่ผมอย่างรุนแรงในบัดดล.ผมถอยหลังออกวิ่งต่อไปตามทิศเดิม.ข้างหลัง ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของบางสิ่งขนาดใหญ่โตแต่ฟังดูตัวมันนุ่มๆ.ปนกับเสียงแกรกกรากคล้ายๆตอนท่านเอาแปรงลวดไปขัดพื้นหิน .
    วิ่งต่อมาได้สักสิบก้าว.ผมต้องหยุดอุโมงค์นี้ดูจะไม่มีที่สุด.และจากเท้าสัมผัสเหมือนมันจะแยกออกไปหลายทาง.ผมไม่รู้จะเลือกไปแยกไหนถึงจะถูก.ก็ได้ยินเสียง: “เอสู! เอสู เคอร์น!"ดังมาจากความมืดมิดอีก.
    ข่มความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นกลัวอะไรผมก็ไม่รู้-- ผมก้าวลึกเข้าไปทางเสียงนั้น. ลึกไปเท่าไรผมบอกไม่ถูก.จนต้องหยุดคิด.และเสียงเรียกชื่อผมก็ดังขึ้นอีก: “เอสู! เอสู เคอร์นนนนน!" ดังมาจากใกล้ๆ เริ่มแรกก็แผ่วต่ำแล้ว แหลมสูงดังสนั่นขึ้น.จากนั้นเบาหายไป แทนที่ด้วยเสียงหัวเราะเหมือนไม่ใช่เสียงคน.เสียงที่ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ.
    นี่ไม่ใช่เสียงอัลตา.ผมรู้มาแต่แรกแล้วว่าไม่ใช่.เป็นเสียงหล่อนไม่ได้.แต่จะเป็นเสียงใครอื่นได้อย่างไร..คำอธิบายอย่างอื่นมันบ้าหลังเสียจนผมไม่ยอมรับฟังสิ่งที่สัญชาติญาณยืนยันแต่เหตุผลฏิเสธ.
    ตอนนี้จากทุกทิศทุกทาง,เสียงเรียกดังขรม.กรีดออกชื่อผม,สำเนียงเยาะเย้ยเหมือนผี.ทางเดินอุโมงค์ซึ่งเมื่อตะกี้ เงียบกริบ..กึกก้องสะท้อนกลับไปมา.ผมก้าวขาไม่ออกได้แต่ยืนนิ่ง.คงเหมือนตอนคนตายลงไปยืนอยู่หน้าบังลังก์ยมบาลในนรก รอบด้านก้องด้วยเสียงผีนรก.อารมณ์ผมผ่านขั้นตอน,กลัวเลือดเป็นน้ำแข็ง-- กลัวเหมือนไปเจอสิ่งประหลาดยังอธิบายไม่ได้- มาถึงขั้น สิ้นหวัง แล้วก็มาถึงขั้น-โมโหหิวเลือด. ผมแหกปากคำรามก้อง กระใจนเข้าหาเสียงที่ใกล้ที่สุด .เพียงจะกระแทกก้บกำแพงหินทึบตันดังสนั่น..ไอ้สิ่งรอบด้านมันหัวเราะเยาะเย้ยกันขรมถมเถ.หันกลับเหมือนกระทิงเปลี่ยวบ้า.ผมวิ่งเมาเลือดเข้าไปอีกทาง.คราวนี้ไม่ใช่ทางตัน เป็นปากอุโมงค์ใหญ่อีกแห่งหนึ่ง.วิ่งอย่างไม่กลัวสะดุดอะไรแล้ว.อยากจะพบไอ้พวกที่มันส่งเสียงเยาะเย้ยแทบจะบ้า. ผมหลุดผ่านเข้าไปในห้องกว้าง.ที่นี่มีแสงจันทร์นวลสว่างส่องเป็นลำลงมา .ผมได้ยินเสียงเรียกอีก..ครั้งนี้เสียงมนุษย์ผู้หญิงแน่นอน..เรียกจากความกลัวและทรมานสุดแสน;
    “เอสู โอ เอสู"
    ในขณะเมื่อผมตอบเสียงเรียกแผ่วเบานั้นด้วยเสียงตะโกนปลอบใจดังสนั่น.ผมก็มองเห็นเธอ.อัลตา อยู่กลางกรอบแสงจันทร์นวลคงจะส่องลงตามช่องโหว่ด้านบน. นอนหงาย. มือและเท้ากางแยกอยู่ในเงามืดพ้นแสงจันทร์.แต่พอมองเห็นว่า มีร่างพิกลดำๆจับกดอยู่.ผมพุ่งใส่พร้อมเสียงตะโกนบ้าเลือด ทันใดความมืดรอบๆตัวก็กลายเป็นสิ่งมีตัวตน.ผุดพรวดขึ้นมามากมาย สูงแค่เข่าแค่เอว.เขี้ยวแหลมคมกัดผม.มือไม้เหมือนลิงตะกุยข่วน.มันหยุดผมไม่ได้หรอก. ผมเหวี่ยงดาบเป็นวงกว้าง,ตัดแหวกทางไปกลางกลุ่มตัวตนดำๆตัวที่เห็นไม่ถนัดว่าอะไร.มันขาดกระจุยกระจายว่อน..ผมถางทางเข้าไปหา หญิงสาว ผู้นอนดิ้นบิดกาย กรีดร้องอยู่ในแสงจันทร์ที่ส่องลงมาจากช่องโหว่สี่เหลี่ยมด้านบน.
    ผมลุยถากทางผ่านมวลกลุ่มก้อนดำ ,แต่กัดเจ็บข่วนได้เลือด บางครั้งท่วมได้ถึงเอว.มันพยายามดึงผม.แต่ไม่มีทางดึงผมลงได้.ผมก้าวถึงกรอบแสงจันทร์กระจ่าง. สิ่งที่กดแขนกดขาอัลตาอยู่ ขาดกระจุยไปด้วยคมดาบ.ที่เหลือลนลานถอยหนี. หญิงสาวผลุดลุกขึ้น กอดผมแน่น.ขณะเมื่อกลุ่มดำรวมตัวกันอีกครั้ง ล้อมเข้ามาเพื่อลากเราสองคนลงพื้น ผมก็มองเห็นบันไดทอดขึ้นชั้นบนอยู่ด้านหลัง.. ผมอุ้มอัลตาไปวางบนบันไดสั่งให้หล่อนไต่ขี้นไป..หันกลับมาป้องกันเบื้องหลังให้หล่อนถอยหนี.
    บนบันไดนั้นมืดมิด.แต่มันทอดขึ้นไปชั้นบนที่กระจ่างด้วยแสงจันทร์ ลงมาทางเพดานส่วนที่ยุบลงมา.
การต่อสู้ด้านล่าง,ทำกันในที่มืดสนิท.ปัดป้องและหาเป้าจากประสาทสัมผัสและตำแหน่งเสียง.สู้กันแบบเงียบกริบอีกด้วย มีแต่เสียงหอบหายใจของผม.เสียงควั่บของดาบแหวกอากาศ เสียงกรึ้บเมื่อคมดาบตัดเนื้อผ่ากระดูก.
    ผมค่อยๆถอยขึ้นไปตามขั้นบันได..ฟาดฟันป้องกันตัวถอยขึ้นไปทีละนิ้ว,ทีละนิ้ว.เนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลข่วนและกัด.กลัวทั้งการโจมตีจากข้างบน.หากมันล้อมผมได้ ผมและอัลตาก็จบเห่.แต่ดูเหมือนพวกนี้จะมีอยู่แต่ทางด้านล่าง..ลักษณะตัวที่ผมต่อสู้นี่ผมยังระบุได้ไม่ชัดเลย. รู้แน่แต่ว่า มันมีเขี้ยวและมีเล็บแม้ขนาดไม่ใหญ่เท่าเขี้ยวเสือเขี้ยวสิงห์.รู้เพราะมันทิ้งแผลไว้เต็มตัว.อีกอย่างรู้จากดาบสัมผัส.ตัวมันเตี้ยแคระแกรน.ผิดรูป.ขนดกและคล้ายลิง.
    เมื่อเราสองคนขึ้นถึงชั้นบน.มีแสงให้มองเห็นชัดขึ้นบ้าง.แสงจันทร์ส่องเป็นลำลงตามช่องโหว่บนเพดาน.ก็ยังเห็นแค่ตัวดำๆ เป็นก้อนไล่ตามติดอยู่.ข่วน,กัด.แล้วก็ล้มลงขาดเกลื่อนจากคมดาบผม.
    ดันแอลตาไปทางด้านหลังผม .ผมชี้ให้หล่อนข้ามห้องไปทางช่องแตกเล็กๆ ที่ผนังด้านหนึ่ง ข้างนอกกระจ่างด้วยแสงจันทร์..หลบหลีกปัดป้องฟาดฟันโงนเงนจากกระแสตัวดำๆ ที่หลั่งไหลมาเหมือนน้ำเชี่ยว..อัลตา มุดรอดช่องแยกนั้นไปแล้ว..พวกมันรวบรวมกำลังดึงผมไว้.ช่องแตกเล็กเกินที่คนตัวขนาดผมจะรอดไปได้ง่ายๆ ผมหันไปมุดเข้าช่องตอนนี้ถูกดึงยึดไว้ด้วยหลายมือ.ผมถีบตัวผ่านไปสุดกำลัง.ก็พุ่งพรวดผ่านช่องแยกไปได้.มีตัวดำๆเกาะติดไปครึ่งโหล.
    ผลุดลุกขึ้น.ผมสะบัดตัว ไล่พวกสยองที่เกาะติดเหมือนหมีตัวใหญ่สลัดหมาป่าที่กัดติด.หยัดขา ฟาดดาบไปทั้งซ้ายและขวา.ตอนนี้แสงจันทร์สว่างพอให้ผมระบุรูปร่างศัตรู. ตัวน่ะเหมือนลิงพิการผิดสัดส่วน.ขนสีขาวมีขี้เรื้อนแหว่งประดับเป็นแถบเป็นวง.หัวมันเหมือนหมา.ตาแคบชิดดวงเล็กๆตามันเป็นตาของงูพิษ---มองไม่กระพริบ.
    ในพวกสัตว์หลากหลายที่ผมพบมาในอัลมูริก,ลิงหัวหมาแคระนี่น่าขยะแขยงที่สุด.ผมรีบถอยหลังจากซากที่ผมฟันขาดกระจุยเป็นกอง..รู้สึกเหมือนจะอาเจียน.พวกข้างในกรูตามออกมา.มองเห็นมันยุ่บยั่บออกมาจากช่องกำแพง..ผมก็แทบอ้วก.นึกถึงกลุ่มหนอนดำๆ ที่คลานกระดึบๆ ยกพวกกันออกมาจากกระโหลกผีเน่าๆ.
    หันกลับไปอุ้มอัลตา วิ่งข้ามลาน.พวกมันตามติดอย่างว่องไว.บางคราวก็วิ่งสี่ขา บางครั้งสองขาเหมือนคน.และทันใดมันส่งเสียงหัวเราะเหมือนผีนรกเกรียวกราวอีก..ผมสำนึกได้ทันทีว่าเราสองคนติดกับแล้ว..ข้างหน้าปิดทางหนีของเราพวกมันอีกกลุ่มใหญ่ ออกมาจากปากทางเดินอีกด้าน..ทางหนีเราถูกอุด.
    มีแท่นมหึมาข้างหน้าเราเกิดจาก เสาใหญ่ผุล้มลง.ผมอุ้มอัลตา โดดไปที่นั่น.ยกตัวหล่อนขึ้นไปอยู่ข้างบน.หันกลับมา เพื่อเอาพวกมันไปโลกหน้า(ถ้ามี)ด้วยให้ได้มากที่สุด.เลือดไหลเป็นสายลงมาตามเนื้อตัว .ผมพยายามสบัดหัวให้เหงื่อที่ไหลเข้าตาหลุดออก .
    พวกมันล้อมเราเป็นรูปครึ่งวงกลม.ตั้งวงช้าๆไม่เร่งร้อนแล้วยามนี้ มันเล็งเห็นแล้วว่าเราสองคนไม่รอดแน่.ในชีวิตไม่เคยรู้สึกหวั่นกลัวและชิงชังขยะแขยง.เหมือนครั้งที่ยืนหันหลังพิงเสาหินอ่อนหักล้มต้นหนึ่งในนครร้างคืนเพ็ญกระจ่างฟ้าคืนนั้น หันหน้ามาประจัญกับสัตว์พิษร้ายจากโลกใต้ดิน.
    การเคลื่อนไหวลึกลับจากช่องบนกำแพงที่เราเพิ่งหนีออกมา เรียกความสนใจผม.บางสิ่งเคลื่อนออกมาจากช่องแตก--บางสิ่งที่ใหญ่โตมหึมา.ทมึนมืด.ผมเห็นประกายเรืองเหลือง.ละสายตาไม่ได้.แม้แต่ตอนลิงหัวหมารัดวงล้อมกระชับเข้ามาช้าๆ...ตอนนี้สิ่งที่เห็นออกมาพ้นช่องแยกหมดตัว..ผมเห็นมันย่อซุ่มอยู่ในเงามืด.ของกำแพง. มีนัยน์ตาประกายเหลืองสองดวง.ผมจำตาคู่นี้ได้ในฉับพลัน.ตานี้ผมเจอมาในห้องใต้ดิน.ตอนหัวค่ำ..
    ลิงหัวหมา ร้องตะโกนก้อง กรูกันเข้ามา.ขณะเดียวกัน สัตว์เร้นลับข้างหลังก็ปรากฏกายออกมากลางแสงจันทร์ ออกมาด้วยความเร็วและว่องไวเหลือเชื่อ.บัดนี้ผมเห็นมันถนัด—แมงมุมยักษ์!.เฉพาะลำตัวตัวใหญ่กว่าควาย.เคลื่อนกายด้วยความรวดเร็วตามเผ่าพันธุ์พวกมัน.แมงมุมเข้าไปอยู่กลางกลุ่มลิงหัวหมา ก่อนที่พวกมันตัวแรกจะเจอคมดาบผม.เสียงร้องโหยหวลดังลั่นจากลิงตัวหลัง.ตัวอื่นหันไปมอง,ทั้งฝูงแตกกระจายไปคนละทิศทาง.แมงมุมยักษ์ สร้างความพินาศให้ฝูงลิง อย่างรวดเร็วดุร้าย.กรามใหญ่งับบดหัว. เขี้ยวที่มีของเหลวดำ(อาจเป็นพิษ)หยดติ๋งๆ ขบที่ไหนตัวเป็นทะลุ.แค่น้ำหนักตัวแมงมุมฯก็บดลิงหัวหมาบี้แบน.เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที.บริเวณตรงนั้นก็เกลื่อนไปด้วยลิงที่เป็นศพและกำลังจะตาย.แมงมุมยักษ์ตั้งท่าย่อตัวอยู่กลางซากลิงอึดใจหนึ่ง.ร่างยักษ์ขนรุงรังจ้องตาเหลืองที่
เหมือนๆจะมีความฉลาดเล่ห์เหลี่ยมเกินเหล่าสัตว์ขาปล้องทั้งหลายมาที่ผม.
    เป็นผมนั่นเอง ที่มันตามล่า.ผมไปปลุกมันที่ใต้ดิน.มันตามกลิ่นเลือดที่ผมเหยียบติดเท้ามา.ที่มันล้างผลาญฝูงลิงก็เพราะลิงเข้าไปขวางทาง..ที่มันไม่กินลิงหัวหมา อาจเป็นเพราะเนื้อพวกนี้เหลือรับกินไม่ลงจริงๆ.
    เมื่อมันเข้าใกล้ ย่อตัวขย่มหามุมโดด บนขาใหญ่ทั้งแปด ผมเห็นได้ว่า มันไม่แตกต่างจากแมงมุมบนโลกเท่าไร(นอกจากใหญ่กว่าสักพันเท่า) .จำนวนนัยน์ตา(ที่มีแค่สอง)และรูปร่างกราม.มันโดดเข้ามาอย่างเร็ว อัลตาร้องกรีด.    แต่ เขี้ยวและเล็บของลิงพันตัว อาจจะพ่ายแพ้พิษร้ายที่หยดติ๋งๆอยู่ที่เขี้ยวพิษ.สมองและกำลังของมนุษย์คนเดียวอาจเอาชัยได้.ผยงัดยกก้อนหินซึ่งแตกหักออกจากเสาหิน,ซึ่งหล่นเกลื่อนตรงนั้นหลายก้อน.แต่ละก้อนใหญ่หนักขึ้นเหนือหัว.เล็งอย่างปราณีตและทุ่มออกไป,ตกตุ้บกลางตัวมันระหว่างขายุ่มย่ามพอดี.มีเสียงกร้อบชอบกล ลำตัวส่วนนั้นของมันบี้แบน ของเหลวสีเขียวกลิ่นน่าคลื่นไส้พุ่งกระจาย.มันบิดตัว สลัดก้อนหินออกจากหลัง.งุ่มง่ามคลานลากขาหักเข้ามาหาผมอีก .ดวงตาเหลืองฉายแววโกรธแค้น.ผมงัดหินก้อนใหม่ยกทุ่มออกไปอีก.ก้อนแล้วก้อนเล่า ทุกก้อนไม่มีพลาด. ถมลงไปจนร่างมหืมาหยุดนิ่งหยุดดิ้นเหลือเป็นเศษขน,เลือด.เครื่องในเกลื่อน กลางกองหิน.
    ผมคว้าร่างอัลตาอุ้มในวงแขน.เผ่นออกมา,ล่าถอยออกตามเงาของเสาใหญ่ออกนอกกำแพง.วิ่งไม่หยุดกระทั่งทิ้งนครร้างแห่งความเงียบและเร้นลับไว้ไกลทางด้านหลัง.เราเห็นจันทร์เพ็ญกลมโตกำลังจะตกลับไปทางตะวันตก.เหนือทุ่งหญ้ากวัดไกวตามสายลมกว้างไพศาล.
    ไม่มีคำพูดโต้ตอบระหว่างผมและอัลตา ตั้งแต่เราพบกันที่ห้องชั้นล่าง.และเมื่อตอนนี้ผมก้มหน้ามองร่างในอ้อมกอด.ก็เห็นหน้าเธอหงายพิงแขนผม.ขาวซีด.ตาหลับ.ผมใจหายวูบ.รีบวางอัลตาลงบนพื้นหญ้า..เธอแค่สลบสิ้นสติ นี่แสดงว่าเธอผ่านสิ่งร้ายกาจน่ากลัวมาหนักขนาดไหน..ผู้หญิงเมืองโคธ;ปรกติไม่เป็นลมง่ายๆนักหรอก.
    ผมวางอัลตาลงนอนเต็มตัวบนพื้นหญ้านุ่ม,มองดูหญิงสาวอย่างไม่รู้จะช่วยอะไรได้.เห็นเหมือนจะเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก.แขนขานวลผ่องนุ่มนวล.สัดส่วนรูปกายที่กลึงเกลาราวรูปสลักจากช่างฝีมือเลิศผมดำยาวสลวย
 แผ่กระจายเหนือบ่าที่ขาวเหมือนหินอ่อน. สายรัดเสื้อสายหนึ่งลุ่ยลงมา.เผยให้เห็นเต้านมงดงามและยอดอกสีชมพูของสาวบริสุทธิ์. ความโหยหาประหลาดซึ่งไม่เคยพบเคยเกิดมาก่อนในชีวิต.ประดังขึ้นมาในหัวอกผม เกือบจะเป็นความเจ็บปวดทีเดียว.
    อัลตาลืมตาขึ้น,มองขึ้นมาที่ผม.แล้วนัยน์ตาดำขลับก็ฉายแววความหวาดกลัวเหลือแสน.ส่งเสียงร้อง โผเข้ากอดผม รัดแน่น.ผมสอดแขนโอบหล่อนไว้  ผมรู้สึกร่างแน่งน้อยนั้นสั่นระริก.หัวใจของหล่อนเต้นแรงเร็ว.
    “อย่ากลัวเลย" ผมปลอบ เสียงตัวเองแหบแปลกๆ "ตอนนี้ไม่มีภัยแล้วละ"
    รู้สึกว่าหัวใจเธอเริ่มเต้นปรกติ,แต่ยังกอดผมแน่น. เสียงหอบหายใจเริ่มเบาลง.แต่ยังปล่อยกายให้อยู่ในวงแขนผม ช้อนตาขึ้นมองผมไม่พูดอะไรสักคำ.ผมชักอาย.วางเธอลง พยุงให้ลุกขึ้นนั่งบนพื้นหญ้า.
    “เมื่อคุณพักหายเหนื่อย" ผมบอก "เราจะออกให้ห่างที่นั่นไปอีก..” ผมผงกหัวไปทางเมืองร้าง
    “คุณเจ็บมาก" หล่อนร้องขึ้นทันใด,น้ำตานองหน้า "เลือดเต็มตัว! โอ.ความผิดฉันคนเดียว.ถ้าฉันไม่หนีออกจากเมือง.” ตอนนี้อัลตาร้องไห้โฮๆ,เหมือนหญิงชาวโลก"
    “ไม่ต้องวิตกหรอก มันแค่แผลข่วน,เขี้ยวเล็บมันไม่ใหญ่พอฉีกเนื้อผม .”ผมตอบ แต่ในใจก็กลัวๆอยู่ว่า เขี้ยวเล็บลิงพวกนั้นจะมีพิษ "เป็นแผลสด..หยุดร้องไห้นะ"
    หล่อนกลั้นน้ำตาอย่างเชื่อฟัง.ยกขายกระโปรงขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างกับเด็กหญิงไร้เดียงสา,ไม่อยากจะรื้อฟี้นสิ่งที่เธอเพิ่งจะเจอมาแต่ผมสงสัยอยู่หลายเรื่อง.
    “ยากาแวะลงที่นั่นทำไม?” ผมถาม "พวกมันต้องรู้ว่ามีอะไรอยู่?”
    “พวกมันหิว" หล่อนตอบตัวสั่นขึ้นมาอีก" พวกเขาจับกูราหนุ่มได้คนหนึ่ง..ตัดแขนขาคนนั้นทั้งเป็น.คนนั้นไม่เคยส่งเสียงร้องขอความเมตตา.มีแต่แช่งด่า..และมันก็เอาไปเสียบไม้ย่าง..”หล่อนพูดต่อไม่ได้.ทำท่าจะอาเจียน
    “ยากาเป็นพวกกินเนื้อคนจริงๆ" ผมพึมพำ
    “เป็นผีนรกมากกว่า..ขณะกำลังย่างเนื้อ. ตัวหัวหมาก็กรูเข้ามา.มาได้เงียบฉันไม่เห็นมันเลยกระทั่งมันรุมยากา เหมือนหมาป่ารุมทึ้งกวาง..แล้วมันลากฉันลงไป..จะเอาไปทำอะไร..ท้ากเท่านั้นคงจะรู้.แต่เขาเล่ากันว่า...ไม่อยากบอกเลย มันลามกเหลือแสน.”
    “ทำไมมันร้องเรียกชื่อผมได้" ผมยังไม่หายสงสัย
    “มันได้ยินฉันเรียกคุณตอนตกใจกลัว" หล่อนตอบ "พวกนี้เลียนเสียงคนเสียงสัตว์อื่นๆได้ เมื่อคุณเข้าไป มันรู้ว่าคุณคือใคร..รู้ได้อย่างไรฉันบอกไม่ถูก.พวกนี้ก็เป็นผีนรก.”
    “ดาวดวงนี้ผีนรกมากมาย" ผมรำพึง.“แต่ทำไมคุณเรียกผมช่วย.แทนจะเรียกซาล พ่อคุณ?"
 หญิงสาวหน้าแดง นิ่งไม่ตอบ.ก้มลงดึงสายรัดเสื้อเข้าที่ปิดหน้าอกตนเอง
    ผมเห็นรองเท้าผูกข้างหนึ่งของอัลตาสายขาดหลุด.ผมผูกต่อเสียใหม่และสวมกลับไปที่เท้าเล็กๆของหล่อนให้.ขณะก้มลงมองดูผม,หล่อนถาม ด้วยคำถามที่ผมนึกไม่ถึง.."ทำไมพวกเขาเรียกคุณว่า "มือเหล็ก"นะ?
นิ้วคุณแข็ง.แต่สัมผัสนุ่มนวลเหมือนผู้หญิง-ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนสัมผัสฉันได้แผ่วเบาแบบนี้ มีแต่ทำให้เจ็บ"
    ผมยกกำปั้นตัวเองขึ้นพิจารณาอย่างเกลียดชังมันนำเรื่องยุ่งมาให้ผมหลากหลาย.กำปั้นแข็งและแรงเหมือนค้อนปอนด์นี้.อัลตายกนิ้วแตะอย่างกึ่งกลัวกึ่งกล้า..
    “มือทุกข้างมีเจ้าของ และเจ้าของมือนี้ ไม่ใช่คนจิตใจหินชาติร้ายกาจอะไรหรอก อัลตา” ผมตอบ "ทุกคนที่ผมสู้มาไม่เคยบอกว่า มันนิ่ม.มันเบา.แต่มีเพียงศัตรูเท่านั้นที่ผมจะทำให้เจ็บ.ไม่ใช่คุณ"
    นัยน์ตาหญิงสาวเป็นประกาย "คุณจะไม่ทำให้ฉันเจ็บ? เพราะอะไร?”
     คำถามง่ายๆนี้ ผมตอบไม่ได้เหมือนกัน.
   
    บทที่07
    ดวงอาทิตย์แห่งอัลมูริก ขึ้นพ้นทุ่งหญ้า.เมื่อเราเริ่มการเดินเท้ายืดยาว กลับโคธ, อ้อมไปไกลทางตะวันตก เพื่อหลีกเมืองร้างผีนรกที่เราเพิ่งหนีออกมาให้ห่างที่สุด.แดดร้อนผิดปรกติ.อากาศอบอ้าว.สายลมเย็นยามเช้ากระโชกเฮือกหนึ่งและหยุดนิ่ง.ท้องฟ้าที่ปรกติไม่มีเมฆ เริ่มเป็นสีทองแดง.อัลตาแหงนมองฟ้าอย่างหวั่นใจ.เมื่อผมถาม.หล่อนตอบว่า กลัวพายุ..ตั้งแต่มาอยู่บนอัลมูริก สภาพอากาศตามทุ่งก็ปลอดโปร่งและชื้นร้อน.แถบเนินเขาลมแรงและเย็นจัด.พายุนี่ผมไม่เคยเอามานึกเพราะไม่เคยเห็นมันมีมันเกิดสักที.
    เหล่าสัตว์ป่าเหมือนจะกระวนกระวายเหมือนหล่อน..เราเดินอ้อมป่าใหญ่ อัลตาไม่ยอมให้เราเข้าป่า จนกว่าพายุจะผ่านไป.เช่นผู้ที่อยู่บนทุ่งราบทั้งหลาย อัลตาไม่ไว้ใจป่าดงดิบ. ขณะเราเดินผ่านทุ่งที่หญ้าไม่กระดิกสักใบ.เราเห็นพวกสัตว์เล็มหญ้าเข้าจับกลุ่มสับสน. ฝูงหมูจิงโจ้ผ่านเราไปกระโดดทีละสาม-สี่สิบฟุต.สิงห์ใหญ่เงยหน้ามองเราจากพงหญ้าข้างหน้า. ร้องคำราม แล้วก็ก้มหัววิ่งแหวกหญ้าจากไปอย่างร้อนรน.
    ผมมองฟ้าหากลุ่มเมฆฝนก็ไม่เห็นมีสักก้อน.มีเพียงสีทองแดงที่ขอบฟ้าเพิ่มขนาดขึ้นจนเต็มท้องฟ้า.ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีทองแดง..และจากสีทองแดงเป็นดำ..ดวงอาทิตย์หรี่แสง.ส่องแสงจางๆอยู่ได้สักพัก..ความมืดชนิดหนึ่งก็เริ่มบังตะวันแล้วก็แผ่ออกบังทั่วทุ่งในทันที.ความมืดมิดแบบสิ้นเชิงครอบคลุมโลก ไม่มีดวงจันทร์ดวงตะวันดวงดาว.ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่า กลางแจ้งกลางวันแสกๆมันจะมืดได้ขนาดนี้. ผมอาจจะเป็นวิญญาญตาบอดไร้ร่างกายสักดวงล่องลอยไปตามอวกาศที่ไม่มีแสง.ถ้าไม่เพราะเสียงสวบสาบจากหญ้าที่เราบุกไป.และสัมผัสจากกายอบอุ่นของอัลตาที่เคียงข้าง.เริ่มจะเกรงว่าเดินไปแบบนี้คงจะไม่พ้นไปตกน้ำหรือเจอสัตว์ร้ายที่มองทางไม่เห็นเหมือนๆเรา.
    ผมหันหน้ามุ่งไปทางกลุ่มก้อนหินใหญ่กลุ่มหนึ่ง .กลุ่มหินแบบนี้มีอยู่ทั่วไปในทุ่งหญ้า.ความมืดสนิทมาถึงเราก่อนจะถึงก้อนหิน ต้องคลำทางไป จนผมเดินไปชนหินใหญ่ก้อนสูงท่วมหัว.ผมหันหลังชนหินก้อนนี้ ดึงอัลตาเข้ามา เอาตัวบังหล่อนไว้ให้ได้มากที่สุด.พ้นออกไป กลางทุ่งมีความเงียบแบบไม่หายใจ.สลับกับเสียงวิ่งหนีสวบสาบ.สัตว์หนีพายุผ่านเราไปเป็นฝูงในความมืด..สารพัดชนิด ฟังจากเสียงวิ่ง กุ๊บกับแบบกีบม้ากีบเก้งกวาง.ตุบตับเหมือนเท้าช้างเท้าแรด.เสียงครวญคำรามแปลกๆ..ครั้งหนึ่งมีตัวอะไรมองไม่เห็นฝูงใหญ่วิ่งผ่านเราไป,ผมดีใจที่เรามาบังก้อนหิน ไม่งั้นคงโดนเหยียบเละไปแล้ว..เสียงทั้งหลายหยุดนิ่งอีกแล้ว.ความเงียบมันสมบรูณ์แบบเหมือนความมืด..แล้วก็มีเสียงหอน...
    “เสียงอะไรน่ะ?” ผมถามอย่างประหวั่นใจ.เพราะจำแนกไม่ออกจริงๆว่ามันน่าจะเกิดจากอะไร
    “เสียงลม" หล่อนตอบเสียงสั่นสะท้าน เบียดกายเข้าใกล้ผมอีก.
    แรกเริ่มพายุยังไม่โหมกระหน่ำ .มันมาเป็นช่วงๆ เสียงเหมือนวิญญาณหลงทาง.แล้วก็แรงขึ้น ดึงฉีกหญ้ารอบๆกระจายว่อน.แล้วก็กระหน่ำ อย่าเรียกกระหน่ำดีกว่ามันชก มันฟาดเหมือนกำปั้นยักษ์ ถ้าไม่มีก้อนหินพิง ผมว่าเราล้มปลิวถูกกระชากลากไปแล้ว.ขนาดนั้นลมยังผลักเราล้มทั้งยืนฟาดลงไปที่ก้อนหินฟกช้ำ.
    ขณะเมื่อเราสองประคองกันลุกขึ้น,ผมตัวแข็ง บางสิ่งผ่านใกล้ที่หลบลมของเราเข้ามา---บางสิ่งใหญ่มหึมาคงจะใหญ่เท่าภูเขา.เพราะแต่ละก้าวของมัน แผ่นดินสะเทือน.อัลตากอดผมแน่นด้วยความกลัว.ผมรู้สึกถึงหัวใจหล่อนที่เต้นแรง.ขนหัวตัวเองก็ลุกชัน จากความกลัวที่บอกที่มาไม่ได้."สิ่งนั้น" ย่างเข้ามาถึงก้อนหินของเรา.มันหยุด.คงจะรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งหลบพายุอยู่ตรงนี้.เกิดเสียงหนังหนาเสียดสีแสกสากแปลกๆ.เหมือนเสียงเคลื่อนไหวของแขนขา
มหึมา.บางสิ่งโงนเงนอยู่ในอากาศเหนือหัว;และแล้วผมรู้สึกมีอะไรมาแตะที่ศอกสิ่งนี้คงจะแตะแขนอัลตา.หล่อนร้องกรีด..ความพยายามสะกดระงับประสาทที่ตึงเขม็งขาดสบั้น.
    ทันใดเสียงร้องก้องดังเหนือหัวหูแทบดับ,และบางสิ่งยื่นลงมาพร้อมกับเสียงขบฟันซี่มหึมา..ผมเหวี่ยงดาบสุ่มๆขึ้นไป.รู้สึกว่าคมดาบเฉือนถูกอะไรสักอย่าง..น้ำอุ่นๆทะลักไหลลงมาตามแขนผม.มีเสียงร้องก้องอีก.คราวนี้เหมือนร้องจากความเจ็บมากกว่าความโกรธ.สิ่งมหายักษ์นั้นก้าวงุ่มง่ามผละไป.แต่ละก้าวแผ่นดินสะเทือน.เสียงร้องของมันดังกลบเสียงพายุ.
    “อะไรน่ะ?” ผมถามเสียงหอบฮั่ก
    “เราเรียกว่า "พวกตาบอด" หล่อนกระซิบ.”ไม่มีใครบอกรูปร่างแท้จริงได้.พวกนี้อาศัยอยู่ในความมืดของพายุ เดินมากับพายุ ไปกับพายุ.-มาจากไหน จะไปไหนไม่มีใครรู้..แต่ดูสิความมืดเริ่มละลายแล้ว"
    ใช้คำว่า"ละลาย"นั่นเหมาะสมทีเดียว.ความมืดเริ่มกระจ่างขึ้น,แต่มันแยกตััวออกมาเป็นแถบยาวๆ.ดวงอาทิตย์ปรากฏส่องแสงจ้า ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินสดใสจากขอบฟ้าถึงขอบฟ้า.แต่บนพื้นโลกมีแถบดำ,ที่โน่นที่นี่.เคลื่อนไปตามทุ่งหญ้า.นี่มันเหมือนภาพในฝันของคนสูบฝิ่น..แถบดำ สลับด้วยแสงจ้าของตะวัน..กวางน้อยตัวหนึ่งวิ่งไป พอถึงส่วนอาทิตย์ส่องเราก็เห็นมันชัดเจน พอวิ่งเข้าแถบมืด มันก็หายไป และกลับมาให้เห็นอีกเมื่อพ้นแถบดำมืด.ไม่มีเขตแสงสลัว แปลก? สว่างจ้าแล้วก็มืดมิดแลไม่เห็น.มันเหมือนเอาริบบิ้นสีดำ ไปวางสลับบน พื้นหญ้าสีเขียวมรกต และพื้นดินสีทองที่ต้องแสงตะวัน.เป็นแบบนี้ไปสุดสายตา..
    เบื้องหน้าของผมก็มีแบบนี้ แถบมืดแยกตัวออก ละลายหาย.ต่อหน้า.และเผยให้เห็นนักรบขนรุงรังร่างยักษ์.ยืนจังก้าจ้องหน้าผม.มีดาบในมือ.เขาคงแปลกใจพอๆกับผม.ทันใดหลายสิ่งเกิดขึ้นพร้อมๆกัน.อัลตาส่งเสียงร้อง "พวกทูกรา" ขาดคำหญิงสาวนักรบร่างยักษ์ก็โดดเข้าฟันผม.ดาบของเขาปะทะดาบของผมที่ยกขึ้นรับ.
    ผมจำสิ่งที่เกิดขึ้นในพริบตาต่อมาได้เลือนลาง.มีการเบี่ยงหลบ.ฟาดฟันและปัดป้อง.เสียงดาบประทะดาบ :และก็เห็นปลายดาบของผมทะลุร่างเขาโผล่ออกทางหลัง. ผมดึงดาบออกนักรบคนนั้นก็ค่อยๆทรุดกายลง,ผมก้มมองร่างเขาอย่างอัศจรรย์ใจ, ตัวเองน่ะเคยนึกมาหลายหนแล้ว ถึงคราวต้องสู้ด้วยดาบต่อดาบและไปพบ.กับนักรบผู้ฝึกฝนชำนาญการใช้อาวุธชนิดนี้มาอย่างดี.ผลจะออกมาเป็นยังไง.ตอนนี้เรื่องที่คาใจอยู่เกิดขึ้นและจบเห็นผลแล้ว.และผมจำไม่ได้จริงๆว่าเอาชนะได้อย่างไร.มันเกิดขึ้นรวดเร็วรุนแรง. จะวางแผนสู้และแผนรับไม่มีทัน: สัญชาติญาณการต่อสู้ของผมจัดการให้เรียบร้อย.
    เสียงร้องโกรธแค้นดังระงมขึ้นทางด้านหลังผมหันไป. นักรบเป็นสิบคนวิ่งออกมาตามก้อนหิน.หนีไม่ทันแล้ว.ในนาทีต่อมา พวกเข้ารุมล้อม.ผมเป็นศูนย์กลางของดาบที่เหวีี่ยงฟาดลงเป็นประกาย.ผมปัดป้องได้อย่างไร แม้สักวินาทีสองวินาที ก็บอกไม่ถูก.รู้สึกแต่ตื่นเต้นพึงใจที่ได้สัมผัสดาบประทะดาบ.และตัดกระดูกไหล่นักดาบคนหนึ่ง. อีกคนสิ เขาก้มหัวหลบดาบผมทัน เอาหอกแทงเข้าที่น่องผม. เดือดดาลด้วยความเจ็บ ผมผ่าหัวเขาตั้งแต่กลางกระหม่อมลงมาถึงคาง.และแล้วพานท้ายปืนยาวกระบอกหนึ่งก็ฟาดลงมา,ผมยกดาบรับกำลังแรงไว้ได้บ้าง. หากโดนเต็มที่ก็กระโหลกแตกแน่โพละนี้ ถึงไม่ตายผมก็ผลอยไป.
    ผมฟื้นสลึมสลือ รู้สึกเหมือนๆตัวเองนอนอยู่บนเรือ โคลงเคลงไปตามคลื่นในทะเลตอนมีพายุ.แล้วก็รู้ว่า ตนเองอยู่บนเปลหามที่ทำจากหอกสองเล่ม มือถูกมัด.นักรบร่างยักษ์สองคนช่วยกันหาม..และหามแบบโยนกวัดแกว่งไปมาไม่ปรานีว่าผมจะเจ็บปวด.ผมมองเห็นแค่ฟ้า.แผ่นหลังของนักรบคนแบกข้างหน้า.พยายามเอียงคอเพื่อดูหน้านักรบคนหลัง..ทันทีที่นักรบคนหามข้างหลังเห็นผมลืมตา,คำรามคำหนึ่งบอกคนหน้า.แล้วมันทั้งคู่ก็โยนเปลทิ้งลงพื้น. แรงกระแทกทำให้หัวที่ได้รับแผลมาใหม่ๆผมเต้นตุบ.แผลหอกที่น่องก็ปวดพิลึก.
    “โลการ์"คนหนึ่งตะโกน "หมาตัวนี้ ฟื้นแล้ว.ให้มันเดินไป.ถ้าจะพามันไปถึงทูกรา ,ข้าไม่ยอมหามมันต่อไปอีก"
    ผมได้ยินเสียงฝีเท้า.และใบหน้าหนึ่งที่ดูคุ้นๆตาก็ตระหง่านค้ำหัวผม.หน้านี้ดุดัน ป่าเถื่อน.มีแผลเป็นรอยใหญ่พาดตั้งแต่มุมปากที่กำลังยิ้มแสยะลงมาถึงคาง.
    “เป็นไง. เอสู เคอร์น"บุคคลนี้เอ่ยปาก"เราพบกันอีกจนได้"
    ผมนิ่งไม่ตอบคำถามที่คงไม่ต้องการคำตอบนี้
    “อะไร" เขาคำราม"จำโลการ์ มือบดกระดูก ไม่ได้รึ? หมาไม่มีขน"
    เขาใส่เครื่องหมายคำพูดคล่อมเน้นประโยคนี้ ด้วยการเตะอย่างป่าเถื่อนเข้าที่ชายโครงผม..มีเสียงผู้หญิงร้องห้าม.เสียงวิ่ง.และอัลตา วิ่งออกมาจากทางกลุ่มนักรบคุกเข่าลงข้างๆผม,
    “สัตว์"หล่อนตะโกน นัยน์ตาเป็นประกายวาว, “แกเตะเขาทั้งที่เขาโดนมัดมือ,เพราะไม่กล้าสู้เขาตัวต่อตัว"
    “ใครปล่อยอีแมวโคธคนนี้ออกมา?”โลการ์คำราม "ทาลข้าสั่งแกไม่ให้นังคนนี้เข้าใกล้หมาตัวนั้น"
    “มันกัดมือข้า" นักรบร่างใหญ่แยกเขี้ยว.ก้าวออกมา.สบัดหยดเลือดออกจากมือ.ให้ข้าไปจับแมวป่าตัวจริงดีกว่า"
    “ก็ดี, ดึงมันขึ้นยืน" โลการ์สั่งการ "หนทางที่เหลือให้มันเดินไป"
    “เขาขาเจ็บ" อัลตาขอร้อง "เขาเดินไม่ได้"
    “ทำไมไม่ฆ่ามันทิ้งเสียที่นี่" นักรบคนหนึ่งอยากรู้
    “เพราะมันง่ายไป" โลการ์ตะคอก. ประกายสีแดงวับแวบจากตาแดงกล่ำ. “ไอ้โขมยคนนี้ ย่องเข้ามาทุบหัวข้าทางด้านหลัง..โขมยมีดข้า—มันเอามาเหน็บเอวไว้นี่.” มันต้องไปให้ถึงทูกรา.ต้องฆ่ามันให้ตายช้าๆ..ลากตัวมันขึ้นมา..
    พวกเขาแก้มัดขาผม ไม่มีเบามือ, ทั้งเจ็บแผลทั้งขาชาจากการถูกมัด ผมเกือบจะยืนทรงกายไม่ได้,อย่าว่าแต่ก้าวเดิน, พวกเขากระตุ้นผมด้วย กำปั้น,ฝ่าเท้า. จิ้มด้วยหอกดาบ.ขนะที่อัลตาร้องไห้โฮ จากความหมดหวังจนปัญญา.และแล้วหล่อนหันไปหาโลการ์.
    “แกมันทั้งโกหกและทั้งขี้ขลาด!” หล่อนกรีดก้อง “เขาไม่ได้แอบเอาก้อนหินทุบหัวแกข้างหลัง. เขาล้มแกด้วยมือเปล่า.ใครๆก็รู้. เพียงคนพวกแกไม่กล้ายอมรับ---”
    กำปั้นแน่นๆของโลการ์ฟาดเข้าที่กรามอัลตา, ส่งเธอตัวลอยจากพื้น.ไปกองแน่นิ่งห่างออกไปเกือบสิบฟุต.เลือดไหลกลบปาก. โลการ์คำรามด้วยความสะใจป่าเถื่อน..แต่นักรบของเขาเงียบกริบ.ทำร้ายผู้หญิงเพื่อสั่งสอนแบบเบาะๆเบาๆ.พอมีให้เห็นและยอมรับได้.แต่ทำกับผู้หญิงขนาดนี้ นักรบกูราทุกคน-ที่ไม่เรียกว่าแสนเลวชาติ มาเห็นเข้าไม่พอใจแน่นอน. นักรบของโลการ์ทุกคน จึงมีสีหน้าเครียด แต่พวกเขาไม่กล้าปริปากพูด.   
    ตัวผมล่ะ.ผมเป็นบ้าไปทันทีด้วยโทสะ.สะบัดตัวอย่างแรงจนนักรบสองคนที่ประคองผมล้มลงไปพร้อมๆผม.เราสามคนลงไปกองรวมๆกันอยู่บนพื้น.ชาวทูกราคนอื่นเข้าช่วย..ยินดีมากที่มีโอกาสระบายอารมณ์ลงบนร่างกายผม,พวกเขาทำอย่างสะใจ ใช้ทั้งซ่นเท้า ด้ามดาบ ..ตัวผมไม่รู้สึกถึงสิ่งที่กระหน่ำลงมาเลย.โลกทั้งโลก เป็นสีเลือดด้วยความแค้น.ได้แต่คำรามเหมือนสัตว์ขณะที่พยายามดึงเชือกหนังที่มัดมือ.จนหมดแรง.นักรบดึงผมขึ้นยืนอีก และบังคับให้เดิน.
    “ตีข้าให้ตาย" ผมคำราม.พูดออกมาได้ในที่สุด"ข้าก็จะไม่ยอมเดิน หากพวกแกไม่เข้าไปดูอาการหญิงคนนั้น"
    “อีห่านั้นตายแล้ว" โลการ์คำราม
    "โกหกว่ะ ไอ้หมา!”ผมถ่มถุย "มึงมันอ่อนว่ะ กำปั้นมึงไปชกเด็กเพิ่งเกิด มันยังไม่เป็นอะไรเลย"
    โลการ์หอนก้องด้วยความแค้น.แต่คนหนึ่งในพวกเขา.หอบแฮ่กๆจากการออกกำลังกระทืบผม.ก้าวเข้าไปที่อัลตา หญิงสาวเริ่มขยับตัวตื่น.
    “ทิ้งมันไว้อย่างนี้" โลการ์ตะโกน
    “ไปนรกเหอะว่ะ" นักรบของเขาคำรามตอบ "ข้าก็ไม่ได้ชื่นชอบนังนี่อะไร ..แต่ถ้าการนำมันไปด้วย จะทำให้ ไอ้ปีศาจหนังเกลี้ยงนี่ยอมเดินไป.ข้าก็จะพามันไป.อุ้มอีนี่ไปตลอดทางก็ได้. ไอ้คนนี้ไม่ใช่คน.ข้าเอาด้ามดาบทุบมันจนหมดเรี่ยวแรงเหนื่อยหัวใจจะวาย.สารรูปมันตอนนี้ยังดูดีกว่าข้าอีก"
    เช่นนี้เอง อัลตา ผู้โผเผยืนขึ้น สลึมสลือเมาหมัด.ติดตามขบวนพวกเราเดินทางไป ทูกรา..   
    เราเดินไปหลายวัน.ทุกย่างก้าว ผมเจ็บปวดแผลที่น่องเหลือแสน. อัลตาอ้อนวอนเหล่านักรบให้หล่อนช่วยพันแผลให้ผม.ถ้าไม่ไดัรับการดูแลจากอัลตา ผมคงตายระหว่างทางแน่นอน.ทั้งตัวผมหัวจรดเท้ามีแต่บาดแผล.จากรอยกัดรอยข่วนของลิงหัวหมาที่เมืองร้าง,แถมฟกช้ำไปหมดจากมือและตีนของพวกทูกรา. เขาให้ผมกินและดื่ม จำนวนแค่พอจะให้ไม่อดตาย.และเช่นนี้เอง..มึนงง..เหน็ดเหนื่อย. หิวโหยน้ำและอาหาร. ดินกระเผลกลากสังขารไปตามทางทุรกันดาน ขึ้นเนินลูกนี้ลงเนินลูกโน้น...ผมเดินไป..และดีใจที่เห็นกำแพงเมืองทูกราในที่สุด ดีใจแม้จะรู้ว่า ที่นั่นคือที่ตายของตัวเอง..อัลตาไม่ได้โดนทำร้ายอื่นใดอีก.นอกจากเขาไม่ยอมให้ช่วยเหลือผมอย่างใด ,นอกจากทำแผลที่ขาและตามเนื้อตัว. บางคราวตื่นขึ้นจากการหลับด้วยเหน็ดเหนื่อยเหลือแสนกลางดึก.ผมได้ยินเสียงอัลตา ร้องไห้เบาๆ..ทุกสิ่งเลือนลาง โลกของผมมีแต่ความเจ็บปวดทรมานหิวโหย.แต่สิ่งหนึ่งที่ยังประทับใจมากที่สุด.เมื่อระลึกถึงการเดินเท้ามหาโหดครัั้งนั้นครั้งใด;นั่นคือเสียงสะอื้นเบาๆของอัลตา.แผ่วเบาในความมืด.จากหัวใจที่เดียวดายสิ้นหวังทุกสิ่ง.เสียงสะอื้นของหญิงสาวตัวเล็กๆคนหนึ่ง ท่ามกลางโลกมืดมหึมา และราตรีที่ก้องไปด้วยเสียงส่ำสัตว์รอบๆ..
     ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองทูกรา.ลักษณะเมืองเกือบเหมือนโคธ-ประตูใหญ่มีหอยามตระหง่านสองข้าง. กำแพงเมืองหนาใหญ่ก่อด้วยหินเขียว,ผู้หญิงผู้ชาย.ไม่แตกต่างเมิองโคธ. ที่ผมพบว่าไม่เหมือนคงจะเป็นที่การปกครอง.ไม่มีสภานักรบ.การโต้เถียงเรื่องปัญหาหลายหลาก.ที่นี่ โลการ์เป็นเผด็จการสมบรูณ์,เผด็จการแบบกษัตริย์โบราณ. ครองนครและชีวิตผู้คนด้วยความโหดร้าย.ไม่ผ่อนปรน. เปี่ยมตัญหาราคะ.และหยิ่งยะโสสุดๆ.ที่เขาบีบทั้งมวลทั้งสิ้นในทูกราไว้ได้ในกำมือคงเป็นเพราะ.พละกำลัง ความกล้าหาญ.แบบดิบเถื่อนไร้สมอง. สามครั้งที่ผมเห็นเขาสังหารนักรบที่แข็งข้อไม่ยอมลงให้.ในการต่อสู้ตัวต่อตัวบนสังเวียน ---ครั้งหนึ่งใช้มือเปล่าสู้กับดาบ.
    ยกนิสัยเลวๆอื่นๆเสีย ผมต้องยอมรับว่า คนๆนี้มีพลังแสนรุนแรงในตัว.พลังกระหน่ำเหมือนลมพายุ ที่จะหักทำลายทุกสิ่งที่ขวางทาง.ผมว่ารากฐานที่หล่อเลี้ยงชีวิตวิญญาณของโลการ์มีแค่นี้เอง.ภูมิใจในกำลัง-หยิ่งยะโสในความสามารถในการต่อสู้ สู้แบบใช้กำลังหักโค่นด้วยไม่มีใช้หัวสมอง...มีแค่นี้.นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมเขาถึงได้เกลียดผมนัก.คนๆนี้ แพ้ใครไม่ได้.เหตุนี้เขาถึงมาบอกใครๆว่า ผมแอบทุบหัวเขาข้างหลัง.และเหตุแบบนี้เหมือนกัน ทำให้เขาไม่กล้าทดลอง..ทดลองปล่อยผมและมาสู้กันตัวต่อตัวบนสังเวียน..ในใจลึกๆเขาต้องกลัว..ไม่ใช่กลัวเจ็บตัว..แต่กลัวว่าหากผมโค่นเขาลงได้อีกครั้ง.เขาจะเสียหน้ามาก. ความหยิ่งยะโสที่ไม่มีจิตใจด้านสูงมาควบคุม นี่แหละ ทำให้โลการ์เป็นได้แค่สัตว์
    ผมถูกขังอยู่ในห้องเล็กๆ ล่ามไว้กับผนัง.โลการ์เข้ามาหาทุกวัน.แช่งด่า,ขู่ตะคอกสารพัด.เห็นได้ว่า เขาคงต้องการทรมานผมทางใจก่อน แล้วทรมานกายในภายหลัง..ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอัลตา.ตั้งแต่เราผ่านประตูเมืองเข้ามา ผมก็ไม่ได้เห็นหล่อนอีก.โลการ์บอกว่า เขาพาเธอไปขังไว้ที่วัง และบรรยายวิธีที่เขาทารุณเธอสารพัดแบบ อย่างละเอียด,แต่ผมไม่เชื่อ.หากเขาได้ตัวเธอจริง.เอาตัวมาทำต่อหน้าผมจะเจ็บแสบกว่า ,แต่ความคลั่งแค้นที่เขาสร้างจากคำบรรยายพวกนี้มันแจ่มแจ้งเสียจน ผมเดือดดาลพอๆกับได้เห็นของจริง.
    เห็นได้ชัดว่า ชาวเมืองทูการ์ไม่ได้ชื่นชมไปกับอารมณ์ขันแบบนี้ของโลการ์.เพราะชาวทูการ์ไม่ได้เลวทรามไปกว่ากูราอื่นๆ.และสิ่งที่กูราทุกคนมี,มีมาแต่กำเนิด คือความเมตตาทนุถนอมเพศหญิง. แต่อำนาจของโลการ์มีมากเกินที่จะมีผู้ใดทัดทาน.อย่างไรก็ดี..นักรบคนหนึ่งที่เอาอาหารมาให้ผม.บอกว่า เมื่อเข้าเมืองก็ไม่มีใครเห็นอัลตา.โลการ์สั่งให้ตามหาไปทั่ว แต่ยังจับไม่ได้.เห็นได้ชัดว่า หญิงสาวหนีออกจากเมืองไปแล้ว หรือหลบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งในเมือง.
    และวันเวลาก็ผ่านไปช้าๆ.

    บทที่ 08
        เป็นเวลาราวเที่ยงคืน เมื่อผมตื่นขึ้น.คบไฟซึ่งปักอยู่ที่ผนังส่องแสงริบหรี่ ประทุเสียงปุปะ..ยามหายไปจากที่ประตู.ข้างนอก มีเสียงอึกทึก,เสียงด่า,เสียงตะโกน.สลับด้วยเสียงเหล็กประทะเหล็ก.เสียงที่ดังที่สุดคือเสียงกรีดร้องของสตรี.มีเสียงพึ่บพั่บคุ้นหูบนอากาศผสมมาด้วย. ผมพยายามดึงเส้นหนังมัดมือ.อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแทบบ้า,มีการต่อสู้ในเมือง.นั่นไม่ต้องสงสัย.แต่จากอะไร.สงครามกลางเมือง?.หรือเผ่าอื่นบุกเข้าตีเมือง.ผมไม่รู้ได้.
    และแล้วมีเสียงวิ่งเร็วแต่แผ่วเบามาจากด้านนอก,อัลตาวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว,ผมเผ้ายุ่งเหยิง.เสื้อผ้าที่มีน้อยชิ้นอยู่แล้วขาดวิ่น.นัยน์ตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว.
    “เอสู!"หล่อนร้อง "ความพินาศจากท้องฟ้า ลงมาหาทูกราแล้ว! พวกยากา ลงมาเป็นพันๆ.ที่ถนนมีการต่อสู้,บนหลังคาก็สู้กัน.ท่อระบายน้ำข้างถนนไม่ระบายน้ำครำแล้วมันระบายเลือด.ตามหนทางเกลื่อนไปด้วยศพ.ดูซิ ไฟกำลังใหม้เมือง!"
    จากช่องระบายอากาศฝังซี่กรงเหล็ก สูงบนผนัง ผมแลเห็นแสงไฟโชนแดงฉาน. ที่ใดที่หนึ่งมีเสียงประทุของไม้ติดไฟ.อัลตาครางสะอื้นขณะที่พยายามแก้เชือกหนังที่มัดมือผมอยู่.วันนี้โลการ์เริ่มทรมานทางกายผม.โดยจับผูกมือห้อยกับขื่อบนเพดาน.แต่โลการ์ไม่ถึ่ถ้วน เขาใช้เส้นเชือกหนังที่เพิ่งแล่มาใหม่มันยืดได้ นิ้วเท้าผมพอจะยื่นถึงพื้นหิน ผมจึงไม่ทรมานมากนัก.และพอจะหลับได้.แต่แน่นอนห้อยอยู่อย่างนี้ไม่สบายกายอย่างยิ่ง.
    ขณะเมื่ออัลตาพยายามแก้ปมเส้นหนังที่มือผม ซึ่งผมดูแล้วเธอแก้ไม่ออกแน่ มันแข็งและปมแน่นเกินไปสำหรับนิ้วมือผู้หญิง.ผมถามหล่อนว่า ไปอยู่ที่ไหน.หล่อนเล่าว่า:หล่อนแอบหลบโลการ์ไปเงียบๆ เมื่อผ่านเข้าในกลุ่มคนในเมือง อาจมีนักรบบางคนมองเห็นแต่ไม่โวยวาย ไม่มีคนรักไคร่โลการ์จริงใจสักกี่คน .เล่าว่าพบหญิงน้ำใจงามคนหนึ่ง.สงสารเวทนาหล่อน,ให้ที่ซ่อนและอาหาร.อัลตาเฝ้ารอโอกาส,ที่จะมาช่วยผมหนี. “ตอนนี้" หล่อนคร่ำครวญบิดมือไปมา. “ฉันทำอะไรไม่ได้แล้ว แค่แก้ปมนี่ยังแก้ไม่ออก"
    “ไปหามีดมาสักเล่ม" ผมสั่ง "เร็วด้วย"
    ขณะหล่อนหันตัวกลับ.ก็หวีดร้อง และถอยหนีกรูด.ตัวสั่นงันงก.เมื่อร่างมหึมาน่าสยอง.โซเซเข้าประตูมา.
    คือโลการ์,เส้นผมที่หนาเหมือนขนคอสิงห์ หนวดและเคราไหม้เกรียม. โชกเลือด.มองจ้องผมด้วยนัยน์ตาสีแดงกล่ำ.โซเซมาหาผม,กำมีดเล่มที่ผมยึดไปจากเขา เมื่อครั้งโน้น.
    “ไอ้หมา" เขาคราง "ทูกราถึงหายนะแล้ว: ผีนรกมีปีก บินลงจากฟากฟ้าเหมือนฝูงแร้งลงยังซากวัว. ข้าฆ่ามันจนเหนื่อยเจียนตาย.ก่อนที่ความตายมาถึง.ข้าก็นึกถึงเจ้าได้, ไปอยู่ในนรกข้าก็ยังไม่สบายใจ.ถ้ารู้ว่าเจ้ายังมีชีวิต.ก่อนที่ข้าจะกลับไปฆ่าพวกมันอีกครั้งและคงจะตายด้วยมือพวกมันในที่สุด.ขอส่งเจ้าล่วงหน้าไปก่อน"
    อัลตาร้องกรีด.วิ่งเข้ามาบังผม.แต่โลการ์ถึงตัวผมก่อน.เขาเขย่งเท้า มือซ้ายจับเข็มขัดผม มือขวาเงื้อมีดสุดล้า..พร้อมๆกันผมก็ยกเข่ากระแทกคางเขาสุดแรง..,หัวผมรุงรังของโลการ์ผงะหงาย.คางเคราชี้ขึ้นฟ้า หัวคนปรกติไม่ทำมุมแบบนี้ -แรงประทะจะต้องหักคอเหมือนหนอกวัวของโลการ์แน่นอน .โลการ์นอนนิ่งสนิทบนพื้นห้องขัง.
    มีเสียงหัวเราะเบาๆ จากหน้าประตู. ร่างสูงสีดำ ปรากฏบนฉากหลังคือ แสงไฟที่คงเริ่มลุกใหม้ด้านนอก.ร่างสูงมีปีก ในมือถือดาบโค้ง .โอย.เอฟเฟ็กมันไม่ผิดรูปวาดปีศาจมีปีก ยืนต้อนรับวิญญาณอยู่หน้าประตูไฟลุกโชนในนรก.นัยน์ตาไร้อารมณ์จ้องมองผมมีปริศนา.มองผ่านไปยังร่างไร้วิญญาณที่พื้นหิน และไปหยุดอยู่ตรงอัลตา.ผู้บัดนี้คุดคู้ตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ที่เท้าผม.
    ยากาตัวนั้น ส่งเสียงร้องสั่งไปข้างหลัง,ก้าวเข้ามาในห้องขัง,ติดตามด้วยพรรคพวกนับสิบ.หลายคนแผลเต็มตัว.ดาบโค้งในมือก็แห่วงวิ่นเป็นฟันเลื่อย เปรอะด้วยเลือดสด.
    “เอาพวกมันไปทั้งคู่" ยากาคนแรกชี้ไปที่อัลตาและตัวผม
    “เอาผู้ชายไปทำอะไร?” คนหนึ่งถาม
    “ใครเคยเห็นคนผิวขาวตาน้ำเงินแบบนี้มาก่อนบ้าง? แจสมีราจะต้องอยากเห็น.แต่ระวังให้มาก.กล้ามมันยังกะกล้ามเสือสิงห์"
    คนหนึ่งกระชากแขนลากอัลตาออกไป.หญิงสาวดิ้นรนแต่ไร้ผล,หันหน้ามามองผมด้วยดวงตาแสดงความหวาดกลัวสุดแสน.คนอื่นๆ เหวี่ยง แหถักจากไหมมาจากระยะปลอดภัย มาพันขาผม.มือก็ยังถูกมัดห้อยโยง.ผมต่อสู้ไม่ถนัด. เขามัดมือผมด้วยเส้นไหม ที่เหนียวขนาดสิงห์ยังดึงไม่ขาด.ตัดสายหนังที่โยงผมที่เพดาน.และสองคนก็ช่วยกันหามผมออกจากห้องขัง..ออกมายังความอลหม่านที่ถนน.
    ส่วนที่เป็นหินของเมือง เช่นกำแพงและผนังแน่นอนไม่ติดไฟ.แต่อาคารส่วนที่ทำด้วยไม้ในนครทูกรา ลุกไหม้โชน.กลุ่มก้อนควันดำพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าก้อนดำมืด,ประดับด้วย ลวดลายคือเส้นแสงไฟจ้าพริ้วระริกจากด้านล่าง. ฉากหน้าของความมืดมิดสลับสว่างนี้.ร่างสีดำ มากมายบิดเต้นเร่าๆ เหมือนภาพในฝันร้าย.ผ่านไปมาระหว่างควันดำบนฟ้า ผมมองเห็นดวงไฟพุ่งไปมาเหมือนดาวตก.ที่สุดก็มองออกว่า นั่นคือมนุษย์ปีกบินถือคบไฟ.
    ตามถนน.กลางก้อนลูกไฟที่ประทุลงมา.และกำแพงที่ถล่มทลาย .ทั้งในอาคารที่กำลังไหม้,บนหลังคา.ฉากต่อสู้ดิ้นรนสิ้นหวัง เกิดขึ้นให้ดูทั่วๆไป. ชายทูกราสู้เหมือนเสือเจ็บ.ตัวต่อตัวยากาไม่มีทางสู้กูรา แต่จำนวนยากาที่ขนลงมาจากฟ้า. มีมากกว่า-มากต่อมาก,ความว่องไวเหมือนภูติผีในอากาศของมัน. ถ่วงดุลย์กำลังที่เหนือกว่าและความกล้าหาญของมนุษย์วานรไว้ได้.โฉบลงมาจากอากาศ.ฟาดดาบโค้งลง และกวักปีกถอยกลับพ้นระยะฟันโต้ตอบในทันที.ยากาสี่คนโจมตีกูราหนึ่งคนด้วยวิธีนี้ กูราไม่มีรอด.ทั้งควันไฟก็ไม่รบกวนมันเหมือนคู่ต่อสู้มนุษย์,ยากาบางตน.บินขึ้นไปเกาะบนที่สูงทำเลดี.เลือกยิงกูราด้านล่างด้วยธนูได้สะดวกสบาย.
    แต่การฆ่าไม่ได้เกิดแก่ฝ่ายเดียว.ศพมนุษย์ปีกและมนุษย์ขนดก เกลื่อนถนนเปื้อนเลือด.เสียงปืนยาวคำรามและร่างมีปีกไม่ใช่น้อย ม้วนลงกระแทกพื้น.ดาบที่ฟาดออกไปจากจิตใจที่โกรธเป็นบ้า หลายตาบพบเป้าหมาย.ขาดกระจุยกระจาย. และหากมือที่สิ้นหวังของกูรา คว้าตัวยากาได้ละก็ .ยากาคนนั้นเป็นตายศพทุเรศ.
    แต่จำนวนชาวทูกรา ล้มตายไปมากกว่ายากา .ควันเข้าตามองแทบไม่เห็น.สำลักควันก็ปานนั้น.กระสุนและศรของนักรบทูกราส่วนมากพลาดเป้าไปไกล.จำนวนก็น้อยกว่า ทั้งสับสนจากยุทธวิธีโจมตีแบบฝูงเหยี่ยว จากศัตรูที่ไม่มีความปรานี.การต่อสู้ของพวกเขาไม่มีผลนัก.ถูกดาบตายเกลื่อน บ้างศพเสียบด้วยลูกศรอย่างกะตัวเม่น.
    ความประสงค์ใหญ่ของยากาดูเหมือนจะ มุ่งอยู่ที่เชลยผู้หญิง,ครั้งแล้วครั้งเล่า ผมมองเห็นมนุษย์ปีกบินขึ้น สูงขึ้นไปกลางกลุ่มควัน.อุ้มสตรีสาวที่ส่งเสียงกรีดร้องในวงแขน.
    “โอยโว้ย มันเป็นภาพสยองใจนัก.ผมไม่เชื่อว่า ความป่าเถื่อน ทารุณแบบนี้ จะเคยมีหรือจะมีเกิดบนโลกเก่า.ไม่ว่ายุคสมัยใดทั้งบัดนี้หรือบัดหน้า,มนุษย์โลกเก่าของผมบางเวลา,บางสถานที่มันจะโหดได้สุดๆ, แต่นี่มันไม่ใช่มนุษย์สู้กับมนุษย์ .มันเป็นสงครามระหว่าง สิ่งมีชีวิตสองรูปแบบ.พื้นฐานความคิดจิตใจแตกต่างหาตัวร่วมไม่ได้สักอย่าง.เหมือนเอาแมลงไปสู้กับหอย..
    การทำลายล้างนี้ไม่ถึงกับล้างเผ่าพันธุ์. ยากาเริ่มล่าถอย.โผกลับขึ้นสู้ท้องฟ้า .ขนเชลยร่างเปลือยขาว ดิ้นรนติดไปมากมาย. นักรบทูกรายังมีเหลือจับกลุ่มอยู่ตามท้องถนน. ยิงขึ้นไปสุ่มๆตามหลังผู้ชนะบนท้องฟ้า.เห็นได้ชัดว่า ยอมยิงไปถูกพวกผู้หญิงให้ตายเสียดีกว่าถูกพาไปยังชะตากรรมที่รอพวกหล่อนอยู่.
    ผมมองเห็นกลุ่มคู่ต่อสู้จำนวนเป็นร้อย.ฟาดฟันกอดปล้ำกันอยู่บนหลังคาอาคารสูงและใหญ่ที่สุดของเมือง.อาคารที่กำลังลุกไหม้โชน.ยากาพยายามผละออกบินหนี กูราพยายามดึงลากลงมา.ควันโบกสบัดรอบๆ ขนตามตัวพวกเขาไหม้เกรียม:และแล้วหลังคาก็ถล่มลง.พาทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ ลงไปสู่ความตายร้อนแรงเบื้องล่าง พร้อมๆกัน.เสียงถล่มสนั่นยังก้องหูผม ขณะที่ยากา ลากผมสู่ท้องฟ้า.ห่างจากเมืองที่แหลกลาญนามทูกรา ห่างไป..ห่างไป...
    เมื่อผมจะหายมึนตั้งสติได้ พอจะพิจารณารอบตัว.พบว่าตัวเองถูกพาบินไปกลางอากาศด้วยความเร็วไม่น้อย.ข้างใต้,ข้างๆและข้างบนรอบๆก้องด้วยเสียงกระพือปีกใหญ่ทรงพลังเป็นจังหวะต่อเนื่อง.ยากาสองคนรับน้ำหนักผมหิ้วบินไปอย่างง่ายๆสบายๆ.ผมอยู่กลางๆฝูง.ฝูงยากาซึ่งกำลังบินมุ่งหน้าลงใต้ ตั้งขบวนรูปศร เหมือนฝูงห่านป่า.นับละเอียดไม่ได้แต่เอาคร่าวๆ มีถึงหมื่นเป็นแน่.ท้องฟ้ายามเช้ามืดดำไปหมด.และเมื่ออาทิตย์ขึ้น เงาของขบวนมหึมานี่ก็ทอดเคลื่อนที่ไปที่แผ่นดินตามทุ่งราบ.
    เราอยู่ที่ความสูงราวพันฟุต.ยากาหลายคนอุ้มหญิงสาวกูรา.บินไปได้รวดเร็ว นี่แสดงกำลังปีกอันมหาศาล. พูดถึงกำลังกล้ามเนื้อแขนขา ยากา น้อยกว่ากูรา.แต่กำลังปีกและความอดทนในการบินไกล พวกนี้มีมากเหลือเชื่อ.มันบินเร็วเต็มที่ได้ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า.และในฝูงขบวนรูปหัวศร พวกหัวหน้าที่ไม่ต้องแบกอุ้มสิ่งใด.แหวกอากาศนำหน้าไป พวกพลๆตามหลังสามารถแบกน้ำหนักเกือบเท่าของตัวเอง บินตามไปได้ติดๆ..
    เราไม่หยุดพักเลย กระทั่งถึงเวลามืด.ผู้จับกุมเราก็ร่อนลงที่ราบ.ก่อไฟและเตรียมพักแรม. คืนนั้นที่นั่นเป็นคืนที่น่าสยองที่สุดคืนหนึ่งที่ผมต้องกัดฟันทนให้มันผ่านไป.เขาไม่ให้อาหารเชลย.แต่พวกเขาปิ้งย่างอาหารกินกัน.คือเนื้อเชลยสาวๆที่จับมานั่นแหละ..ตัวเองถูกมัดนอนกลิ้งที่พื้น.ผมหลับตาไม่ยอมมอง.อยากให้ตัวเองหูหนวกจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงกรีดร้องกระชากใจ..ชายฉกรรจ์ อกสามศอกตายน่ะ ผมทนดูได้ ตายในสนามรบ.ตายตอนถูกรุมฆ่าก็พอทำใจได้.แต่การลากผู้หญิงอ่อนแอ ที่ช่วยตัวเองอย่างไรไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียงกรีดร้องขอความเมตตาจนคมมีดสงบเสียงของพวกหล่อน. ลากมามัดเรียงนอนหงายสับคอ แล่เนื้อปิ้งย่าง หน้าตาเฉยเป็นสิบๆร้อยๆ แบบนี้ทนมองไม่ได้ต้องหลับตา. ทั้งยังไม่รู้ว่าอัลตาอยู่ในพวกที่ถูกเลือกมาฆ่ากินหรือเปล่า. ได้ยินเสียงเควี้ยวของดาบ,เสียงเนื้อและกระดูกคอขาดดังกริ๊บ เสียงหัวกระเด็นกลิ้งดังขลุกๆครั้งใด.ผมตัวสั่น.มองเห็นแต่หน้างดงามน่ารักของอัลตาที่เหลือแค่คอ กลิ้งอยู่บนพื้นเลือดนองในจินตนาการ.สิ่งที่เกิดที่ีรอยกองไฟ กองอื่นๆ ในกลุ่มพักแรม จำนวนพันเต็มท้องทุ่งออกไปนี้ ผมไม่มีทางรู้ได้.
    หลังจากกินเลี้ยงฉลองสัตว์นรกที่อิ่มท้องกาง ก็นอนสบายรอบกองไฟ.ตัวผมนอนด้วยใจเจ็บปวด.ฟังเสียงเสือสิงห์ที่วนเวียนอยู่รอบนอก.มองเห็นแล้วว่าเปรียบกับสัตว์ป่าที่ว่าดุแสน.มันยังมีความทารุณร้ายน้อยกว่า สิ่งที่มีรูปคล้ายมนุษย์..และกลางใจที่หวาดกลัวเจ็บปวดในอก,.ความเกลียดชังมหาศาลก็ค่อยๆก่อเกิดขึ้น,แผ่กว้าง..เข้าเกาะจับจิตใจผมให้เป็นเหล็กเพื่อจะทนต่อทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้ได้ในคืนนี้และวันหน้า..ทนเพื่อให้ถึงวันหนึ่งซึ่งผมจะตอบแทนสัตว์นรกมีปีกพวกนี้ ...ตอบแทนสิ่งร้ายกาจทั้งหลายที่พวกมันก่อให้สาสมทุกสิ่งทุกการกระทำ.
    แสงอาทิตย์ยามเช้ายังขมุกขมัว เมื่อพวกเราบินขึ้นท้องฟ้าอีกครั้ง.ไม่มีอาหารมื้อเช้า.ผมมารู้ทีหลังว่า ยากาไม่กินอาหารวันละสามมื้อ..แต่สองสามวันมื้อ.แต่ละมื้อก็ยัดใส่ท้องจนเต็มพิกัดความจุ.หลังจากบินข้าม ทุ่งหญ้ามาหลายชั่วโมง. ก็มองเห็นแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง ทอดจากขอบฟ้าหนึ่งไปจรดขอบฟ้าหนึ่ง.ฝั่งแม่น้ำด้านเหนือมีดงทึบแคบๆ.น้ำในแม่น้ำสีม่วงแปลกๆ .เป็นประกายเหมือนสายไหมสีม่วง สายน้ำไหลแรงมากเชี่ยวกรากม้วนเป็นวง, เสียงน้ำสนั่นขึ้นมาถึงระดับสูงที่เราบินอยู่.ฝั่งตรงข้ามมีหอคอยแคบแต่สูงตั้งโดดเดี่ยว, สร้างด้วยวัตถุสีดำเป็นประกายเหมือนเหล็กทาน้ำมันชักเงา.ตรงจุดที่สร้างหอคอย มีหินมหึมาอยู่ในน้ำหลายก้อน, สูงพ้นน้ำเรียงรายระเกะระกะไปจนข้ามฝั่ง.หินพวกนี้โผล่ขึ้นไม่ห่างกันนัก ,กระแสน้ำสีม่วงถูกบีบให้ไหลเชี่ยวเป็นฟองฝอย เกิดเสียงดังราวฟ้าร้อง.
    ..เมื่อถูกหิ้วข้ามหอคอย ผมมองเห็นยากาห้าหกคนอยู่บนหลังคา โบกมือไม้เหมือนต้อนรับพรรคพวกบนฟ้า.พ้นออกไปทางใต้เป็นเป็นทะเลทราย—สีเทาเวิ้งว้าง มีแต่กระดูกขาวแห้ง กองอยู่ที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง..ที่ขอบฟ้าผมมองเห็นก้อนสีดำมหืืมา.
     ยากามุ่งไปที่ก้อนดำนี้ สองชั่วโมงก็ใกล้พอที่ผมจะเห็นรายละเอียด.มันเป็นหินสีดำรูปแท่งสี่เหลี่ยมก้อนเดียว แต่ก้อนใหญ่เท่าภูเขา.ตั้งอยู่กลางทะเลทราย.หินก้อนนี้ใหญ่จนสร้างเมืองได้.บนยอดมีเมือง.หอคอยปราสาทล้วนเป็นหินสีดำ. มันใช่เรื่อง๋โกหกแล้ว..เมืองยักกา นครดำ ที่มั่นที่เข้าตีไม่ได้ ของพวกคนปีก.
        มีแม่น้ำอีกสายไหลผ่านทะเลทราย กระแสไม่เชี่ยวกรากเหมือนสายสีม่วง,ใหลเลัดเลาะเป็นคูธรรมชาติป้องกันเมืองอีกชั้น.หินสีดำดิ่งชันลงมาจดสายน้ำนี้ทุกด้าน,เว้นบริเวณหนึ่ง ฝั่งตรงนี้เป็นที่ราบพื้นที่กว้างไม่น้อย พอให้สร้างเมืองอีกเมือง,รูปแบบสถาปัตยกรรมเมืองด้านล่างแตกต่างจากเมืองบนยอดหินดำมาก.บ้านเรือนก่อด้วยหิน เป็นสี่เหลี่ยม.หลังไม่ใหญ่โตมีชั้นเดียว หลังคาเรียบ.มีอาคารหลังเดียวพอจะดูยิ่งใหญ่สักหน่อย. อาคารคล้ายวิหารสีดำ หันหลังติดก้อนหินดำ.เมืองข้างล่างนี้ ป้องกันการบุกจากด้านฝั่งตรงข้าม ด้วยกำแพงหินแข็งแรง ก่อชิดริมน้ำ,หักมุมเข้าไปจดหน้าผาหินดำ.
    ผมมองเห็นชาวเมือง ไม่ใช่ทั้งยากาและกูรา.ตัวเตี้ย ล่ำสันผิวสีน้ำเงิน.หน้าตาเหมือนคนบนโลกเก่า มากกว่าเหมือนลิงแบบกูรา แต่ไม่ดูฉลาดเฉลียวเหมือนกูรา. ใบหน้าพวกคนน้ำเงินนี้ออกมาในทาง.สมองทึบ.โง่เง่าและป่าเถื่อน,พวกผู้หญิงก็ดูดีกว่านิดเดียว.ผมเห็นคนพวกนี้ไม่เพียงในเมืองใต้ก้อนหิน.แต่เห็นทำไร่ทำนาอยู่ที่ริมแม่น้ำ.
    มีเวลาสังเกตุได้ไม่นาน.เพราะฝูงนักรบยากาพากันร่อนลงที่ นครบนยอดก้อนหิน.ตั้งตระหง่านเหนือสายน้ำเชี่ยว ห้าร้อยฟุต.ตื่นใจไปกับการออกแบบสร้างนครแห่งนี้.ป้อมปราการหอรบ.หลังคายอดแหลม.ตื่นตาไปกับสวนพฤกษาประดับบนหลังคา.นครบนก้อนหินนี้ถูกออกแบบสร้างให้เป็นราชวังเพียงหนึ่งหลัง.เพราะถึงขนาดจะกว้างขวาง และมีอาคารเล็กอาคารน้อยมากอยู่ แต่มันเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน..ร่างผู้คนมีปีกตัวดำที่เอนกายสบายอยู่บนตั่งเตียง กลางสวนประดับบนหลังคา ชันศอกขึ้นมองดูพวกเรา.ที่พื้นถนนพวกผู้หญิงแหงนมอง.ขณะเมื่อพวกยาการ่อนลงเกาะบนหลังคาอาคารกว้างหลังหนึ่ง..ออกแบบมาคล้ายๆลานจอดเรือบิน.นักรบมีปีกส่วนใหญ่ที่จับเชลยมา.ปล่อยเชลยลงที่นี่ และบินแยกย้ายไป.ปล่อยให้พวกเราอยู่ในความควบคุมของนักรบสี่ร้อยคน.มีหญิงสาวทูกราถูกจับมาราวห้าร้อย.ผมใจชื้นเมื่อเห็นอัลตารวมอยู่ระหว่างสาวๆที่กลัวจนตัวสั่นพวกนี้ด้วย. พวกผู้หญิงถูกต้อนผ่านประตูบานใหญ่เข้าไป,ส่วนผมพวกเขาไม่แก้มัดแขนมัดขาแต่ช่วยกันหามผมมาอีกทาง.ตอนนี้แขนขาผมไม่มีความรู้สึก ,ตายชาไปหมดเพราะถูกมัดแน่นมานานเป็นวันแล้วมั้ง ถ้านับตอนที่ถูกแขวนอยู่ในคุกทูกราด้วย.แต่จิตใจผมยังแจ่มใส,สมองยังว่องไว มองหาทางหนีหรือสู้ไปตลอด.
    เขาหามผมลงมาทางบันไดใหญ่ขนาด ช้างสิบสองเชือกเดินเรียงแถวหน้ากระดานได้,ผ่านทางเดินขนาดไพศาลพอๆกัน,ผนัง,บันได,เพดานและพื้น.เป็นหินสีดำมันวับ.เมืองนี้ไม่ได้สร้างด้วยวิธีตั้งเสา ก่ออิฐ.ฉาบปูน..เขาสะกัดเข้าไปในหินดำมหึมา.ก้อนที่นครยักกาตั้งอยู่.สะกัดขุดเข้าไป.ให้เป็นพี้น,เป็นเพดาน.อาคาร เป็นปราสาทราชวัง.ตั้งแต่ถูกหามเข้ามานี่ ผมยังไม่เห็นมีความพยายามประดับตกแต่งแกะลายเล็กๆน้อยๆให้วิจิตร.แต่หากท่านถูกมัดหิ้วหามเข้ามาในที่นี้เหมือนผมท่านก็ต้องยอมรับว่า ผลรวมของผนังตระหง่าน,หลังคาโค้ง.ที่ล้วนเป็นหินสีดำถูกขัดจนเงาวับนี้, ออกมาเป็นศิลปทางสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ชิ้นหนึ่งทีเดียว---ขัดแย้งกันสุดแสน- ความตระการของสถานที่กับจิตใจมหาโหดเป็นสัตว์ของเจ้าของสถานที่. ทว่า ร่างดำทมึนมีปีก.ที่เคลื่อนกายไประหว่างทางเดินกว้างไพศาลก็ดูเข้ากันได้ดี..นครดำชื่อก็เหมาะสมอยู่.มันไม่ได้ดำแต่สิ่งที่ใช้สร้าง.อย่างอื่นก็ดำด้วย ทั้งร่างกายจิตใจของชาวนคร.
    เมื่อเขาหามผมมาตามทางเดินซับซ้อนนี้.ผมเห็นผู้อาศัยอื่นนอกจากนักรบชายยากา ที่พบเจอมาแล้ว.ผมได้เห็น.ผู้หญิงยากาเป็นครั้งแรก ,พวกหล่อนร่างสูงโปร่งเหมือนฝ่ายชาย.ผิวหนังก็ดำเป็นมันเหมือนกัน.จมูกงุ้มเป็นสันเหมือนเหยี่ยว.แต่ไม่มีปีก,สวมกระโปรงสั้นๆ รัดเข็มขัดประดับอัญมณี.คาดอกด้วยผ้าบางๆ พวกผู้หญิงยากานี่ แต่ละคนหน้าตาดูดีทีเดียว.ถ้ามองข้ามความทารุณที่ แสดงออกมาให้เห็นได้ชัดๆทางสีหน้า.เรียกว่า แต่ละคนสวยมากกายสีดำสูงตรงตระหง่าน.ผมเป็นเส้นตรงยาวสลวยไม่หยิกหยอง.
    ผมเห็นหญิงอื่นอีกเป็นร้อยๆที่นี่.ลูกสาวผมดำ ผิวขาวผ่องของพวกกูรา,แต่ยังมีพวกอื่น.หญิงร่างเล็ก,ผิวเหลือง, และผิวสีทองแดงทั้งปวงเห็นได้ชัดว่า เป็นทาสของมนุษย์ปีก.นี่เป็นของแปลกใหม่ ผมไม่คิดฝันมาก่อน.ไอ้ตัวประหลาดๆ ที่ผมได้พบเจอมา ล้วนเคยได้ยินเพื่อนชาวโคธพูดเล่าถึงทั้งนั้น.ลิงหัวหมา..แมงมุมยักษ์.คนตัวดำมีปีกบินได้,ทาสผิวสีน้ำเงินของพวกเขา..เหล่านี้อย่างน้อยมีในตำนานเคยได้ยินมา(ไม่เชื่อมากกว่าเชื่อจนได้มาประทะตัวจริงของจริง)ทั้งนั้น.แต่ไม่เคยได้ยินชาวโคธคนไหนเอ่ยถึงหญิงผิวเหลืองหรือผิวทองแดง..หรือว่าพวกนี้ถูกจับมาจากโลกอื่น.เหมือนผมที่มาจากต่างดาว?
     โดนหามไปใช้ความคิดไป.ยากาก็พาผมผ่านประตูทองเหลืองบานใหญ่ ที่นี่หน้าประตูมีนักรบมีปีก หลายคนยืนรักษาการณ์ และก็พบว่าตัวเองถูกปล่อยทิ้งพลั่กบนพื้น.รวมกับเชลยผู้หญิงที่จับมาได้ไหม่จากทูกรา.ในห้องรูปห้าเหลี่ยมใหญ่,บนผนังมีม่านสีทึมๆ ห้องนี้มีพิเศษต่างจากห้องอื่นซึ่งเป็นพื้นหิน ห้องนี้พื้นปูพรมหนังสัตว์นุ่มหนา.และอากาศอบอวลด้วยกลิ่นหอมของกำยานน้ำหอม.
    ด้านหลังของห้อง.เขาสร้างเป็นยกพื้นรูปครึ่งวงกลม มีบันไดกว้างทอดขึ้นไป.สู่บังลังก์ปูด้วยขนสัตว์ ที่ว่ามาทั้งหมดล้วนเป็นทองคำ. หญิงยากาคนหนึ่งทอดกายนั่งสบายบนบังลังก์นี้.ผู้หญิงคนนี้เป็นหญิงยากาคนแรกที่ผมเห็นว่ามีปีก,เธอแต่งกายเหมือนๆหญิงยากาอื่น.ไม่มีเครื่องเพชรนิลจินดา.นอกจากที่เข็มขัดฝังอัญมณี.และเหน็บมีดด้ามเพชร.ความงามของหล่อนเป็นเลิศ.แต่น่าสยอง เพราะมันไม่ได้งามแบบมนุษย์มีเลือดเนื้อ แต่งามแบบรูปปั้นที่เกิดเคลื่อนไหวได้.. ผมรู้สึกได้ว่า ในจำนวนยากาทั้งหลาย อันมีความเป็นมนุษย์น้อยอยู่แล้ว หญิงคนนี้มีน้อยที่สุดหรือไม่มีเลย.นัยน์ดาครุ่นคิดของหล่อน บ่งถึงความฝันที่เตลิดไปไกลเกินขอบเขตุที่มนุษย์จะไปได้. ใบหน้าหญิงคนนี้ เหมือนเทพธิดา.เทพองค์ที่ไม่รู้จักทั้งความกลัวและความกรุณา.
    รอบๆบังลังก์ของสตรีผู้นี้ เรียงรายอยู่ในท่าที่เคารพนบนอบ และหวาดกลัวกลัวสุดๆ.เป็นหญิงงามเปลือยล่อนจ้อนจำนวนยี่สิบคน.ผิวขาว,ผิวเหลือง และผิวสีทองแดง.
    หัวหน้านักรบก้าวเข้าไปที่่บัลลังก์ ,ก้มโค้งลงต่ำ,ยี่นมือสองข้าง.ออกไป ฝ่ามือคว่ำนิ้วกาง.และกล่าวว่า
    “ข้าแต่พระนางแจสมีรา, ราชินีแห่งราตรี.ข้าพระองค์นำผลเก็บเกี่ยวแห่งชัยชนะมาถวาย"
    หญิงคนนั้นยันข้อศอกจากท่าเอียงตัวอ้อยอิ่ง มองลงมา..ยามเมื่อนัยน์ตาน่าสพรึงของหล่อนกวาดมาพิจารณา, เหล่าเชลยต่างตัวสั่นด้วยความกลัว.สั่นเหมือนยามสายลมแรงพัดมาต้องนาข้าวสาลี.สตรีกูราทุกคนได้รับรู้ จากตำนานและประเพณีสอนมาตั้งแต่เด็กว่า..ชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุดที่ลูกผู้หญิงจะพบ.ก็คือถูกพวกจากนครดำจับตัวมา. ยักกาเป็นดินแดนเลือนลางที่สุดสยอง.ปกครองโดยปีศาจตัวหัวหน้้า.มีนามแจสมีรา.บัดนี้พวกเชลยสาวได้มาอยู่ต่อหน้านางปีศาจร้ายนี้ ตัวจริงเสียงจริง.ไม่แปลกเลยที่หลายคนเป็นลมล้มลงทันที.
    ดวงตาของแจสมีราผ่านพวกเชลยสาวๆไปอย่างไม่สนใจนัก.มาจับจ้องอยู่ที่ตัวผม ซึ่งยากาสองคนหิ้วปีกประคองอยู่.ผมเห็นความสนใจวาวขึ้นในตาของหล่อน.และหล่อนก็ถามหัวหน้านักรบ;
    “คนเถื่อนผิวสีขาว.ขนก็ไม่มีเหมือนพวกเรา.แต่งกายแบบกูรา.แต่รูปร่างไม่เหมือนนี้คืออะไร?”
     “พวกข้าฯพบมันอยู่ในคุกของพวกทูรากา.โอ ราชินีแห่งราตรี.” เขาตอบ"ขอพระองค์ซักถามมันด้วยพระองค์เองเถิด.บัดนี้ได้โปรดคัดเลือกหญิงที่งามสุดแยกไว้,เพื่อเป็นทาสส่วนพระองค์.และแบ่งปันพวกที่เหลือให้เหล่านักรบผู้ออกไปกรำศึก...
    แจสมีราพยักหน้า.นัยน์ตายังจ้องมองผม.โบกมือคัดเลือกเชลยสาวที่รูปโฉมงดงามไว้จำนวนหนึ่ง.อัลตาอยู่ในพวกนี้.นักรบต้อนพวกที่ถูกเลือกไปด้านหนึ่ง.พาที่เหลือออกไป.
    แจสมีราพิจารณาผมอยู่สักพักไม่พูดอะไร,และสั่งยากาที่ดูเหมือนจะเป็นทหารคนสนิทซึ่งยืนอยู่ข้างๆ "โกทรา.คนๆนี้เหน็ดเหนื่อย เนื้อตัวสกปรกเปื้อนเหม็นเหงี่อและคาวเลือด.จากการเดินทางและการถูกคุมขัง.ที่ขาก็ย้งมีแผลที่ยังไม่หายแผลใหญ่.สารรูปของมัน.เอามาต่อหน้าเราตอนนี้ .เหมือนดูหมิ่นเราสุดๆ.เอามันออกไปเดี๋ยวนี้.ให้อาหารและน้ำ.ล้างเนื้อตัว,ทำแผลให้ดี.แล้วค่อยนำมันมาหาเราใหม่.”
    สองนักรบที่หิ้วหามผมมา แอบถอนใจด้วยความเหนื่อย.ดึงผมขึ้นอีกครั้ง,หามออกไปจากท้องพระโรง.ลงไปตามทางเดินคดเคี้ยว,ลงบันไดไปทอดหนึ่ง และไปหยุดที่ห้องอันมีอ่างน้ำตกบนพื้น,แล้วก็ล่ามมือล่ามเท้าผมด้วยโซ่ทองคำ.ตอนนี้เขาถึงตัดเชือกที่มัดมือผมออกทิ้ง,เลือดที่ถูกรัดแทบจะไหลเวียนไม่ได้ มานานเป็นวันๆเริ่มไหลปรกติในเส้นเลือด.มันปวดพิลึกอยู่..ผมแทบไม่ได้สังเกตุว่า ระหว่างนี้สองคนนี้ช่วยกันวักน้ำในน้ำพุล้างคราบเหงื่อ,ฝุ่นและเลือดออกจากร่างกายผม.เปลี่ยนผ้าเตี่ยวผืนใหม่ให้ผม.และทำแผลใส่ยาแผลที่น่องให้ผม.ลำดับต่อมา ทาสสาวผิวสีทองแดง ยกถาดอาหารและเหยือกน้ำทองคำเข้ามาวางให้. ผมไม่กล้าแตะพวกที่ปรุงด้วยเนื้อ.สงสัยที่มาอย่างยิ่ง, แต่คว้าผลไม้และถั่วยัดใส่ปาก.ผมไม่ได้กินอะไรเต็มท้องมานาน.และดื่มไวน์สีเขียวอึกใหญ่.มันรสดี ทำให้สดชื่น.
    ดื่มไวน์แล้วผมรู้สึกง่วงนอนมาก,ฝืนไม่ไหว ต้องเอนกายหลับไปเกือบทันทีบนเตียงที่ปูด้วยผ้ากำมะหยี่.หลับลึกมาก กระทั่งมีบางคนมาเขย่าตัว.คนนั้นคือ โกทรา ทหารคนสนิทราชินี มือหนึ่งจับแขนผมสั่นมือหนึ่งถือมีดเล่มเล็กๆ.สัญชาติญาณป่าปลุกผมตื่นเต็มตัวในพริบตา.ถ้าไม่ติดโซ่ที่แขนผมคงบี้หัวเขาด้วยกำปั้นไปแล้ว. โกธราถอยกรูด,ด่าเสียงขรม.
    “ข้าไม่ได้มาเชือดคอแกหรอกไอ้คนป่า.” เขาตะคอก "ถึงจะอยากเชือดแค่ไหน.เชลยคนใหม่-หญิงชาวโคธบอกแจสมีราว่า  แกมีนิสัยชอบโกนหนวดเครา,และพระราชินีอยากเห็นแกแบบนั้น. นี่ เอามีดนี่ไปโกนหนวดเคราเสีย.มีดเล่มนี้ปลายไม่แหลมนะดูให้ดี อย่าพยายามทำอะไรข้า.และข้าก็จะระวังไม่เข้าไกล้แก.กระจกอยู่นี่"
    หายตื่นเต้นกลับไปครึ่งหลับครึ่งตื่น-ผมสงสัยว่า ไวน์สีเขียวใส่ยานอนหลับ.ใส่มาทำไมผมก็บอกไม่ได้--ผมเอากระจกเงินขัดมัน พิงกับกำแพง,และโกนหนวดเคราตัวเอง ที่งอกยาวออกมาไม่น้อยระหว่างที่ถูกขังอยู่ในทูกรา.โกนแบบแห้งไม่มีสบู่หรือครีม.แต่ตอนนี้หนังผมมันหนาไม่แพ้หนังควาย.และมีดเล่มนั้นก็คมยิ่งกว่ามีดโกนที่ผมพบมาในโลก.เมื่อผมโกนหนวดเคราเรียบร้อย,โกทราส่งเสียงพึมพำว่าหน้าตาผมเปลี่ยนไปมาก.เรียกมีดคืน.ไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บมีดไว้,มันใช้เป็นอาวุธไม่ได้.ผมขว้างมีดเล่มนั้นใส่เขา.แล้วหลับต่อไปทันที..
    ผมตื่นขึ้นอีกครั้ง,คราวนี้สดชื่นปรกติ.ลุกขึ้นจากเตียงสำรวจรอบๆ.ห้องนี้ไม่มีเครื่องตกแต่งอื่นใด นอกจากเตียงนอน,โต๊ะไม้ดำเตี้ยๆ เก้าอี้บุขนสัตว์.มีประตูออกประตูเดียว.ปิดอยู่และคงจะใส่กุญแจด้านนอกแน่นอน. มีหน้าต่างบานเดียว.โซ่ที่ล่ามตัวผมปลายหนึ่งไปใส่กุญแจอยู่ที่ห่วงทอง,โซ่เส้นนี้มีความยาวพอที่จะให้ผมเดินไปถึงน้ำพุที่อยู่ห่างไม่กี่ก้าวและไปถึงหน้าต่าง.มีซี่กรงทำด้วยทอง.ผมมองออกไป เห็นหลังคาแบนๆ.ปราการและหอคอยยอดแหลม.พ้นออกไปเป็นอะไรมองไม่เห็นอาคารพวกนี้บังตาไว้หมด.
    กระทั่งบัดนี้ พวกยากาปฏิบัติกับผมไม่เลวนัก;สงสัยอยู่ว่า อัลตาจะเจออะไร,ได้คัดเลือกเป็นทาสส่วนตัวของราชินีพอจะมีสิทธิพิเศษหรือความปลอดภัย.เพิ่มขึ้นบ้างไหมหนอ?
    แล้ว โกราท ก็เข้ามาอีกครั้ง.คราวนี้มีนักรบมาด้วยครึ่งโหล.ไขกุญแจล่ามผม.พาผมลงไปตามทางเดิน.ไปขึ้นบันไดเวียน.เขาไม่ได้พาผมกลับไปที่ท้องพระโรงใหญ่. แต่ไปที่ห้องเล็กๆ สูงขึ้นไปบนหอคอย. ในห้องนี้ เกลื่อนกลาดด้วยเบาะด้วยหมอนนุ่มนิ่ม.รกแน่นเกินไปด้วยซ้ำ .เข้ามาแล้วเหมือนเข้ามาในรังแมงมุมใหญ่.ที่มันชักใยนุ่มๆเป็นก้อนเป็นกลุ่มเต็มไปหมด,และนางแมงมุมดำอยู่ที่นี่ ,ทอดกายบนเบาะกำมะหยี่.มองผมด้วยสายตาสนใจเต็มที่.ครั้งนี้ หล่อนอยู่ลำพังไม่มีองครักษ์หรือทาสอยู่ด้วย.นักรบใส่กุญแจโซ่ล่ามผมที่ห่วงทองบนผนัง..ผนังทุกๆห้องในสถานที่ห่าเหวนี่ เหมือนจะฝังห่วงสำหรับคล้องโซ่ล่ามผู้คน.มากยิ่งกว่าที่บ้านเรือนพวกเรามีตาปูตาขอไว้แขวนของใช้,รูปภาพ หรือนาฬิกา.ตรวจดูว่าลั่นกุญแจแน่นหนาแล้วก็ออกจากห้องไป.
    ผมเอนกายลงบนเบาะนุ่มนิ่ม. สัมผัสอ่อนนุ่มของขนสัตว์ทำให้ผมรำคาญผิว.ตอนนี้เนื้อผมแข็งกระด้าง เพราะไม่ได้นอนที่นอนนิ่มๆมานาน.ราชินีแห่งยักกา จ้องมองผมนานจนผมอึดอัดใจ.มองนิ่งไม่พูดจา.นัยน์ตาของหล่อนสามารถสะกดจิต.รู้สึกถึงแรงกระทบชัดเจน.แต่ตอนนี้เริ่มจะเหมือนสัตว์ที่เอามาล่ามโซ่ไว้ให้คนดู.จนผมเริ่มไม่พอใจ,ผมพยายามกลั้นความโมโห.สะกดความเดือดดาล ,รู้ดีว่าตัวเองอาจจะกระชากโซ่ทองเส้นเล็กๆที่ล่ามไว้ขาดไม่ยาก.และกำจัดแจสมีนาไปจากโลกได้ง่ายๆ.แต่อัลตาและตัวผมก็คงยังเป็นเชลยอยู่บนก้อนหินจัญไรที่ทุกตำนาน ทุกแหล่งข่าวรายงานตรงกันว่า ไม่มีทางหนี,นอกจากจะบินไป.
    “เจ้าเป็นใคร?” แจสมีนาถามขึ้นในฉับพลัน. “ข้าเคยเห็นชายที่มีผิวละเอียดกว่าเจ้า.แต่ไม่เคยเห็นผิวขาวและขนน้อยเท่าเจ้ามาก่อน"
    ก่อนที่ผมจะถามหล่อน ว่าหล่อนเคยเห็นคนแบบที่ว่า มาจากที่ไหน,ถ้าไม่ใช่พวกประชาชนของหล่อน. หล่อนพูดต่อ: “คนที่มีนัยน์ตาเหมือนเจ้าก็ไม่เคยพบ,นัยน์ตาเจ้าสีเหมือนทะเลสาบลึกใส..แต่มันลุกโชนคุกรุ่น เหมือนไฟเย็นสีน้ำเงินที่ลุกกระพือตลอดกาลเหนือซาทาร์.เจ้าชื่ออะไร?มาจากที่ไหน.ผู้หญิงของเจ้า-อัลตา บอกว่า เจ้าเดินออกมาจากป่าดง,มาพักอาศัยในนครของหล่อน.เอาชนะนักรบที่ทรงพลังที่สุดของเมือง ในการสู้รบมือเปล่า.แต่มันก็ไม่รู้ว่าเจ้ามาจากดินแดนไหน.พูดมา อย่าโกหก"
    “ผมจะบอกความจริงไม่โกหกแต่พระนางก็ต้องคิดว่าผมโกหกอยู่ดี" ผมพูดเสียงต่ำๆ "ผมชื่อ เอสู
เคอร์น.ชาวโคธเรียกผมว่า มือเหล็ก,ผมมาจากโลกอื่น จากระบบดาวอื่น.ความบังเอิญ หรือเครื่องมือของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง..คนที่พระนางอาจเรียกว่าเป็นผู้วิเศษเรืองเวทย์ ส่งผมมาบนดาวนี้.เป็นความบังเอิญ.ที่ทำให้ผมเข้าไปในเมืองโคธ.และความบังเอิญอีกแหละที่นำผมมาที่ยักกา.ความจริงมีตามนี้ ,จะเชื่อหรือไม่แล้วแต่ใจ.”
    “ข้าเชื่อเจ้า" หล่อนตอบ "ในอดีตนานแสนก่อนโพ้น..มนุษย์สามารถผ่านไปตามดวงดาว,ถึงบัดนี้ก็ยังมีพวกที่สามารถท่องไปตามจักรวาล.ข้าจะเก็บเจ้าไว้ศีกษาสักระยะ.แต่โซ่จะต้องผูกแขนขาเจ้าไว้เช่นนี้..เพราะข้ามองเห็นความเดือดดาลของสัตว์ร้ายในตาเจ้า,และรู้ว่า เจ้าจะฉีกเนื้อข้า ถ้าทำได้"
    “อัลตาล่ะ!”ผมถาม
    “หือ?” อัลตาทำไม?” หล่อนดูประหลาดใจมากที่ได้ฟังคำถามนี้
    “ท่านทำอะไรกับเธอ?” ผมถาม
    “มันจะเป็นทาสส่วนตัวข้าเหมือนหญิงหน้าดางดงามอื่นๆ,กระทั่งมันทำให้ข้าไม่พอใจ.พูดถึงหญิงอื่นทำไม.เมื่อพูดกับข้า.แบบนี้ข้าไม่ชอบ"
    ดวงตาหล่อนเริ่มเป็นประกายวาว,ผมไม่เคยเห็นนัยน์ตาแบบแจสมีนา,เปลี่ยนสีได้ ตามอารมณ์.ในตาคู่นี้ส่องสะท้อนให้เห็นอารมณ์ดุเดือด,ความโกรธร้ายกาจ,และตัญหาราคะระดับสูงเกินกว่าที่มนุษย์ใดๆจะคาดฝันไปถึง.
    “แกไม่หน้าซีดตัวสั่น!" หล่อนพูดเบาๆ "รู้หรือไม่หากทำให้แจสมีนาไม่พอใจอะไรจะเกิด?เลือดจะไหลนอง,เสียงกรีดร้องจากความเจ็บปวดทรมานจะก้องไปทั่วนครยักกา.แม้แต่บรรดาทวยเทพก็จะซุกหัวด้วยความกลัว"
    คำพูดและสำเนียงของหล่อนทำให้เลือดผมเย็นเป็นน้ำแข็ง.แต่มันไม่อาจดับความโกรธป่าเถื่อนในใจผมได้. พลังเริ่มกลับมาสู่กาย.และผมรู้ดีว่า.ผมสามารถดึงโซ่ทองที่คล้องบนห่วงที่ผนังขาดสบั้นคว้าร่างแจสมีนา มาฉีกกระจุย ได้ก่อนที่หล่อนจะทันลุกจากเบาะด้วยซ้ำ.ถ้าจำเป็นต้องทำ..ผมหัวเราะ.ความหิวเลือดมันออกมาชัดจากเสียงหัวเราะนี้.หล่อนเบิกตาและยื่นหน้ามาจ้องตาผม.
    “แกบ้ารึ ที่หัวเราะ?” หล่อนถาม "ไม่.นี่ไม่ใช่เสียงหัวเราะ มันเป็นเสียงคำรามของสิงห์ที่ออกล่า..แกคิดจะโดดเข้ามาและฆ่าข้า,หากทำแบบนั้น อัลตาทาสคนนั้นจะต้องรับผลตอบแทนสาหัส.แต่ข้ายังสนใจเจ้า.ไม่มีชายคนใดหัวเราะใส่หน้าข้ามาก่อน.เจ้าจะได้มีชีวิตอยู่--ต่อไปสักพัก..”หล่อนตบมือ และนักรบหกคนก็กลับเข้ามา "พามันกลับไปห้องมัน.หล่อนสั่งการ "ล่ามโซ่ติดกำแพงไว้ จนกว่าข้าจะเรียกหาอีก"
    การถูกกักขังครั้งที่สามของผมบนอัลมูริกก็เริ่มขึ้น.ครั้งนี่ที่เมืองสีดำนามยักกา,บนก้อนหินแท่งใหญ่ ชื่อ ยุทธลา.ริมแม่น้ำย๊อค.ในแผ่นดินนามว่า แย็ก

       
    บทที่09
    ผมได้เรียนรู้มากมาย เกี่ยวกับวิถึทางดำเนินชีวิตของพวกน่าสยองพวกนั้น.พวกที่ปกครองเหนืออัลมูริกมาตั้งแต่มนุษย์จำความได้.ครั้งหนึ่งนานแสนพวกยากาอาจเป็นมนุษย์ และวิวัฒนาการแยกสายพันธุ์.คิดอีกทีผมสงสัยว่า ไม่ใช่, ยากาต้องสืบสายพันธุ์มาจากชีวิตที่แตกต่างจากมนุษย์ หรือไม่ก็แยกตัวออกจากกันตั้งแต่ต้นไม้แห่งวิวัฒนาการยังเป็นไม้ต้นน้อย,เปรียบกับบนโลกน่าจะเหมือนกับตอนที่กิ่งวิวัฒนาการกิ่งเดียวบนต้นน้อยต่ำเตี้ยบนผืนดินแห่งเวลานานโพ้น..แตกสายเป็นสอง, หนึ่งมาเป็นสัตว์ไร้กระดูกสันหลัง-เป็นหนอนเป็นแมลง เป็นกุ้งเป็นปู, สายหนึ่งมาเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นปลา,หนู-นก-ลิง-คนฯลฯ ?.. และเป็นความบังเอิญอัศจรรย์หนึ่งในแสนๆล้านบันดาลให้ในที่สุดยากามามีรูปกายคล้ายมนุษย์ แทนที่จะเป็นตัวพิศดารหอนเห่าพิลึกกึกกือ จากนอกอวกาศ.
    พิจารณาผิวเผิน ยากาคล้ายกูรา,คล้ายพอใช้.แต่ถ้าเอานิ้วจี้ สอบทวนย้อนกลับไป ทางกาย และเฉพาะจิตใจ.ย้อนกลับไปไกลพอ จะเห็นว่า สองพวกนี้ไม่เหมือนกันอย่างอธิบายชี้แจงไม่ได้.. ด้านความเฉลียวฉลาด ยากามีเหนือกว่ากูรา.แต่ขาดสาระสำคัญหลักๆมาก. จิตใจดี(ครับ กูราแม้จะอารมณ์ร้าย เถื่อนดิบ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ใจร้าย) ความสัตย์ซื่อ.ความกล้าหาญ และความเป็นลูกผู้ชาย กูราเหนือกว่า. กูราอาจจะโกรธง่าย,โมโหแล้วทำสิ่งป่าเถื่อน.แต่มาเปรียบกับความเถื่อนทารุณแบบวางแผนล่วงหน้าพิศดารของยากา,.ยากายามอารมณ์ดีสุดๆ ก็โหดร้ายทารุณแล้ว ยามโมโหละก็.ความโทสะของพวกนี้สุดจะทนมอง.กูราโกรธซื่อๆแบบเด็กน้อยโมโหปึงปังชั่วครู่ชั่วยามหาคนปลอบหรือคนมาสนใจได้ก็ยิ้มร่าเริงและไม่นานก็สำนึกผิด ยากามันโกรธเหมือนผู้ใหญ่สันดานร้ายมาแต่เกิด.
    ยากามีจำนวนไม่น้อย.นักรบก็สองหมื่นคน.ผู้หญิงมีมากกว่าชาย,เมื่อนับรวมจำนวนทาส.ที่ยากาทั้งหญิงชาย มีคนละมากกว่าหนึ่ง,จำนวนคนในเมืองยักกาก็ยุ่บยั่บ.ผมนั่งนับปริมาณผู้อาศัย เอามาเปรียบกับขนาดของก้อนหินยุทธลา.หินดำก้อนนี้ดูเล็กไปเลย.จนได้รู้ว่า เมืองนี้ไม่ได้มีพื้นที่ใช้สอยแค่ด้านผิวบน.นายช่างได้เจาะขุดลึกลงไป ในก้อนหินอีกด้วย.ปราสาทราชวังหอรบอาจดูตระหง่านขี้นสู่ฟ้า แต่ลึกลงไปนายช่างขุดเจาะหินดำ เป็นห้อง และทางเดินซ้อนลงไป ซ้อนลึกลงไป.คล้ายกับจอมปลวกมหึมา.และเมื่อพวกยาการู้สึกว่า คนบนยักกาชักจะแออัด ก็ทำการฆ่าหมู่เหล่าทาสทิ้ง.อยู่มานี่ผมไม่เห็นเด็กๆยากาสักคน. นักรบที่ล้มตายไปในการออกล่าก็มีน้อย. โรคภััยทั้งติดต่อและโรคจากการเสื่อมของสังขารก็ไม่มี. พวกนี้จะทำลูกเพิ่มพลเมืองกันนานๆครั้ง.เมื่อคนรุ่นใหม่เติบโตเป็นหนุ่มสาว .จะผสมพันธุ์ทำเด็ก ครั้งต่อไปก็อีกนาน.
    ยากา ชนชั้นเจ้าแห่งยักกาทั้งชายหญิง ไม่ต้องทำงานอื่น .ใช้ชีวิตส่วนใหญ่หาความสุขลามก.ความรู้และวิธีการด้านสร้างความลามกแบบเถื่อนวิตถาร พวกนี้มันละเอียดพิศดารจนคนโรมันโบราณยุคเสื่อมที่ว่าแน่ๆ แพ้ไปเลย. ชีวิตหาความสุขด้านนี้จะมีพักบ้างก็ตอนนักรบเคลื่อนกำลังบิน ออกไปตีเมืองพวกกูราเพื่อจับทาสสาวๆ.
    เมืองที่อยู่ด้านล่างของหินยุทธลาชื่อว่า อักกา.พวกนี้เป็นทาสของยากามาตั้งแต่บรมกาล.เป็นแค่สัตว์ใช้งาน, ทำไร่,ปลูกต้นไม้และพืชผักที่ใช้กินได้,ดูแลคูทดน้ำแปลงเกษตร.และทำงานอื่นๆตามบัญชาของเจ้านาย.พวกอักกานับถือยากาเป็นสิ่งเหนือกว่าตน,หรืออาจนับถือเป็นเทวดาไปเลย.และแจสมีนาคือราชินีของปวงเทพเทวา,นอกจากทำงานหนักตลอดเวลา,พวกอักกาไม่ได้ถูกทารุณอะไร.ผู้หญิงอักกาก็ดูเหมือนสัตว์มากกว่าเหมือนคน. ยากาไม่มีมอง, พวกนี้มีสุนทรียรสสูง.คือสนใจแต่คนสวยๆรูปร่างดีๆ.แต่ความสนใจด้านนี้ที่มีต่อคนที่ต่ำกว่า(คือทาส) ออกมาในแนววิตถารลามก .อาการทางจิตที่เรียกซาดิส (ต้องทรมาณผู้หญิง เสียก่อนถึงจะมีอารมณ์ทางเพศ) เป็นเรื่องปรกติ. พวกอักกาจะไม่ขึ้นไปเมืองเบื้องบน นอกจากได้รับคำสั่งให้ไปทำงานที่หนักเกินกำลังทาสหญิงกูรา.พวกนี้ไต่บัันไดเชือกไหมขึ้นไป.ไม่มีทางเดินหรือบันไดขึ้นลงบนหินยุทธลา.ยากาไม่ต้องการบันได.พวกเขาบินได้. ผาชันของหินยุทธลา มันเรียบลื่น.ไม่มีทางที่ใครจะไต่ขึ้นลง; มนุษย์ปีกเจ้านายไม่ต้องกลัวอักกาจะก่อการร้ายเข้ายึดเมือง.
    หญิงยากาเอง ก็เป็นผู้จำขังอยู่บนหินยุทธลาเหมือนกัน.หากเด็กคลอดออกมาป็นหญิง เขาจะผ่าตัดเด็ดปีกทิ้ง.มีเพียงทารกที่มีสิทธิ์สืบทอดครองบัลลังก์ถึงจะไม่ถูกตัดปีก.ทำเช่นนี้เพื่อรักษาความเป็นใหญ่ของฝ่ายชายเอาไว้. เพราะผมก็ค้นคว้าไม่ได้เหมือนกัน,ว่าอย่างไร?ในอดีตตรงไหน?.ชายยากาถึงมามีอำนาจเหนือฝ่ายหญิง..ดูจากแจสมีนา.หญิงยากาเหนือกว่าชายทุกด้าน,ว่องไวกว่า,อดทนกว่า.มีความกล้า และแม้แต่กำลังเหนือกว่าชายทั้งนั้น.ขลิบปีกทิ้งเป็นวิธีเดียวที่จะไม่ให้พวกหล่อนครองอำนาจสูงสุด.
    แจสมีนาเป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่แสดงว่า หญิงยากาพัฒนาไปได้ขนาดไหน-หล่อนสูงกว่าหญิงยากาคนอื่น,ซึ่งก็สูงกว่าหญิงกูรา.และแม้ว่าพวกหล่อนจะมีรูปโฉมเย้ายวน.กล้ามเนื้อเส้นเอ็นแข็งเหมือนเหล็ก แฝงอยู่ใต้แขนขากลมกลึง.แจสมีนาดูยังสาว-หญิงยากาทุกคนดูสาวสด.อายุเฉลี่ยพวกนี้นานถึงเก้าร้อยปี.แจสมีนาครองยักกามาสี่ร้อยปี.
ราชวงค์ผู้หญิงที่มีสิทธิ์ในบัลลังก์เท่าๆกัน,ท้าหล่อนสู้ชิงความเป็นราชินีสามครั้ง.พิธีชิงบังลังก์นี้,จัดกันในห้องแปดเหลี่ยมในราชวัง.และแจสมีนา สังหารเจ้าฟ้าหญิงผู้ท้าทายได้ทั้งสามครั้งด้วยมือเปล่า.ตราบเท่าที่หล่อนสามารถ
ป้องกันมงกุฏไว้ได้จากผู้อ้างสิทธิ์อื่นๆ.หล่อนก็ได้เป็นราชินีต่อไป.
    ขะตาของทาสเมืองยักกามีแต่มืดมน.ไม่มีคนไหนรู้ว่า เมื่อไรตนจะถูกเชือดคอ.แล่เนื้อลงหม้อต้ม, ตอนยังมีลมหายใจก็ต้องทนทุกข์ จากอำเภอน้ำใจไม่แน่นอนและทารุณของเจ้านายทั้งนายหญิงนายชาย.ยักกานี่เหมือนนรก เท่าที่สถานที่บนโลกจะเป็นได้.ผมไม่รู้ว่าในเวียงวังของขุนนางและบ้านเรือนนักรบอื่นๆด้านนอก.จะมีอะไรเกิดบ้าง.แต่ในวังหลวง.ไม่มีสักวันสักคืน ที่ผนังกำแพงจะไม่ก้องสะท้อนด้วยเสียงกรีดร้องเจ็บปวด.เสียงอ้อนวอนขอความเมตตา.ปนเปไปกับเสียงหัวเราะเถื่อนบ้า,ลามก.
    ผมทำใจไม่ได้เลย มาอยู่ที่นี่..คนที่จิตและร่างกายแกร่งขนาดผมยังทนไม่ได้.;สิ่งเดียวที่ช่วยไม่ไห้ผม
เป็นบ้าไปคือ;จะยอมปล่อยให้ตัวเองถลำลึกไปขนาดนั้นไม่ได้.ผมต้องอยู่.เพื่อสังเกตุ,หาทาง,วางแผนช่วยอัลตา.แม้ตอนนี้มองไม่เห็นเลย.ตัวเองถูกล่ามโซ่ติดผนังห้อง; ไม่รู้ด้วยว่าหญิงขาวโคธเพื่อนสาวผมคนนี้อยู่ที่ตรงในวังอันกว้างใหญ่ของแจสมีนา.ถึงหล่อนจะได้รับการป้องกันจากราคะของชายมีปีก.แต่จากความทารุณของนายหญิงไม่มีทางป้องกัน.
    ถูกขังอยู่ในยักกา ผมเห็นสิ่งหลายสิ่งที่เอามาเล่าซ้ำไม่ได้เลย-ฝันถึงยังไม่กล้า,ความหฤโหดของหญิงชาย  ยากาไม่มีขอบเขต.พวกเขาไม่นับถืออะไรสักสิ่ง.แม้แต่ศาสนา ซึ่งปรกติบนโลกเก่าแม้จะแตกต่างกันบ้าง,ทุกศาสนาก็ยังสอนให้เป็นคนดี มีเมตตาให้ความรักต่อผู้อื่น,เกรงบาปกรรมฯลฯ..ไม่มีศาสนาเสียแล้ว สิ่งดีๆที่ตามมา เช่นความกรุณาความสุภาพฯลฯก็ไม่ต้องไปพูดถึง..แสดงความทารุณป่าเถื่อนออกมาให้โลกเห็นได้ ไม่มีอับอายไม่ต้องซ่อนเร้น.เห็นว่าตนเองคือพระเจ้า.ก็เห็นว่าตัวเองอยู่เหนือสิ่งที่ยับยั้งมนุษย์สามัญ.หญิงยาการ้ายกว่าชายยากา.หากศาสตร์ชนิดนี้จะมีคนแต่งคนเขียน.คือ--ศาสตร์แห่งวิธีทารุณ.ยากาก็พัฒนาค้นคิดบันทึกไว้ได้ละเอียดยิบ. วิธีทรมาณที่ทำกับทาสที่ถูกรัดตรึงตัวสั่น,ทำได้ทั้งทางกายทางใจ..มันละเอียดวิจิตรพิศดาร ทั้งวิธีทั้งเครื่องมือที่จัดสร้างขึ้น... ทารุณกรรมศาสตร์ (วิชาสร้างความทารุณ) ที่ยากาแต่งคิดค้นและทดลองมาเป็นพันๆปีนี่ เป็นตำราเล่มใหญ่หลายเล่มทีเดียว .ผมเล่าต่อช่วงนี้ไม่ได้แล้ว เล่าใบ้ๆก็ไม่ไหว.
    วันเวลาแห่งการจองจำของผมนี้เป็นเหมือนฝันร้ายเลือนลาง.ตัวเองไม่ได้รับการทรมานเท่าไร.แต่ละวันนักรบเจ็ดแปดคน พกอาวุธทั้งดาบทั้งมีดทั้งปืน เยอะเต็มตัวแทบจะเอาปากคาบ..พาผมเดินไปรอบๆราชวังเหมือนเขาพาสัตว์ร้ายไปออกกำลังกาย.ล่ามโซ่แน่นหนา.หลายหนผมพบอัลตา ทำงานทาสต่างๆ,ทุกครั้งหล่อนไม่สบตาผมและรีบเดินผ่านไป,ผมเข้าใจดี.ผมทำให้หล่อนตกในที่เสี่ยงมหันต์มาครั้งหนึ่งแล้ว ที่เอ่ยถึงหล่อนกับแจสมีนา.ทาสของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มหาราขินีแจสมีนา.คนที่จะปลอดภัยที่สุด คือคนที่พระนางจำชื่อจำหน้าไม่ได้.
    อย่างไรก็ดีผมพบกำลังในตนกำลังที่จะข่มความเดือดดาลมหาศาล.โทสะมืดหน้าตาบอด,ที่จะหักโซ่และออกไปพยายามฆ่าหมู่นักรบเป็นร้อยพัน ซึ่งคงจะเป็นการฆ่าตัวตายในที่สุด.ผมบีบเค้นรั้งใจตัวเองไว้ ด้วยมือเหล็กที่ชาวโคธตั้งสมญาให้.ความแค้นไม่ระเบิดออกข้างนอก.แต่กัดกินลึกลงไปในวิญญาณ.ความชังตกผลึก แข็งเป็นมณีสีเลือด.วันคืนผ่านไป จนถึงคืนที่แจสมีนา เรียกตัวผมไปพบอีก.

    บทที่ 10
    แจสมีนา ยกมือท้าวคาง นั่งมองผมด้วยดวงตาสีดำ.เราอยู่ลำพังสองต่อสองในห้องอีกห้องหนึ่งที่ผมไม่เคยเข้ามาก่อน.เป็นเวลาค่ำ.ผมนั่งที่ตั่งตรงข้ามเธอ,นักรบถอดโซ่ให้ผม,หล่อนเสนอให้อิสระภาพผมชั่วคราว หากผมให้สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายหล่อนและกลับไปใส่โซ่ในห้องเมื่อหล่อนสั่งให้กลับ.ผมให้สัญญา,ผมไม่ใช่คนฉลาดนักหรอก.แต่ความเกลียดมันลับไหวพริบผมเสียคมกริบ.ผมต้องข่มใจเดินหมากตามที่วางไว้.
    “คิดอะไรอยู่,เอสู มือเหล็ก?” หล่อนถาม
       “หิวน้ำ" ผมตอบ
    หล่อนชี้นิ้วไปที่เหยือกแก้วผลึกข้างๆ "ตื่มไวน์สีทองนี่สิ.จิบแต่พอน้อยๆนะ.มันเป็นเหล้าที่แรงที่สุดในโลก.ตัวฉันเองดื่มไปมากๆ ยังสลบไปเป็นวัน.และเจ้าก็ไม่คุ้นกับดีกรีมัน"
    ผมจิบไวน์ทองคำอึกน้อยๆ มันแรงจริงๆ
    แจสมีนาเหยียดกาย บนตั่งของหล่อน,และถามว่า "ทำไมเจ้าเกลียดข้า? ข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีหรือ?”
    “ผมไม่เคยพูดเลยว่าเกลียดพระนาง"ผมแก้ตัว. “พระนางงดงามเลอโฉมยิ่ง....แต่...ทารุณมาก"
    หล่อนยกไหล่ปีก,“ทารุณ?ข้าเป็นเทพเจ้า,จะต้องมีความเมตตาหรือทารุณหรือ? คุณสมบัติพวกนั้นมีไว้แค่สำหรับมนุษย์ และมนุษย์มีไว้เพื่อความสุขของข้า.ทุกชีวิตถือกำเนิดจากข้ามิใช่รึ?”
    “พวกอักกาโง่ๆเชื่อเช่นนั้น" ผมตอบ "แต่ผมรู้ดีว่าเป็นอีกอย่าง พระนางก็รู้"
    หล่อนหัวเราะ ไม่ยักโกรธ "อือ,ฉันอาจจะสร้างชีวิตไม่ได้,แต่ทำลายได้ตามใจ, ฉันอาจไม่ใช่เทพเจ้า,แต่เจ้าจะพบว่า,สำหรับเหล่าที่อยู่ใต้อำนาจฉันยอมรับสิ้นเชิงว่า ฉันมีอำนาจสูงสุดทำอะไรพวกเขาก็ได้, มือเหล็ก, ความเป็นเทพเจ้าไม่มีคำแปลอื่นนอกจากแปลว่า "อำนาจ"ฉันมีอำนาจสูงสุดบนดาวดวงนี้ดังนั้นฉันคือ เทพเจ้า.พวกกูรา เพื่อนขนดกของเจ้านับถืออะไร?”
    “พวกเขานับถือ "ท้าก" เชื่อวา ท้ากคือผู้สร้างและผู้รักษาโลก.พวกเขาไม่มีพิธีการทางศาสนาเป็นพิเศษ,ไม่สร้างวิหาร,แท่นบูชา หรือแต่งตั้งพวกพระไว้สวดมนต์บูชาท้าก, ท้ากมีรูปกายเหมือนมนุษย์ขนรุงรัง ,เป็นเทพในรูปมนุษย์. เสียงสายฟ้ายามพายุคือเสียงตะโกนของท้าก. ท้ากคำรามในถิ่นป่าเนินเขา ผ่านทางปากเสือสิงห์ ท้ากรักคนกล้าเกลียดคนขี้ขลาด.แต่ท้ากไม่ทำร้ายหรือช่วยเหลือผู้ใด,เมื่อเด็กชายออกจากท้องแม่ ท้ากจะมาเป่าความกล้าและพละกำลังให้,เมื่อนักรบสิ้นใจ เขาจะล่องลอยขึ้นสู่ถิ่นของท้าก.ก็คือสวรรค์ มีทุ่งราบ มีแม่น้ำ มีภูเขา อุดมไปด้วยสัตว์ให้ล่า.เป็นที่สิงสู่ของวิญญาณนักรบกล้า.ผู้ออกล่า,ต่อสู้,เมามาย ไปตลอดกาลเหมือนที่เขาทำในเวลามีชีวิต"
    หล่อนหัวเราะ "หมูโง่ๆ ความตายคือหลับไม่มีตื่น.เราพวกยากาไม่นับถือสิ่งใดนอกจากตัวเอง.และสังเวยตัวเองด้วยร่างกายของคนเผ่าอื่นทั้งปวง"
    “การปกครองของพระองค์จะอยู่ไปตลอดกาลคงไม่ได้" ผมตั้งข้อสังเกต.
    “มันอยู่มาตั้งแต่เวลาเริ่มต้น ดำรงอยู่เมื่ออรุณรุ่งของสกลกาล..บนหินดำนาม ยุทธลา คนของข้ามองดูโลกผ่านเวลานานเกินจะนับ,ก่อนเกิดมีนครกูราผุดขึ้นที่โน่นที่นี่บนทุ่งราบ.พวกเราอยู่ในดินแดนแย็กมาแล้ว. เป็นนายเสมอ.เราครอบครองเผ่าสูญหายที่อยู่บนแผ่นดินก่อนที่ กูราจะวิวัฒนาการมาจากลิง;เผ่าสูญหายที่สร้างเมืองหินอ่อนซึ่งยังเหลือซากไว้ให้รำคาญตาดวงจันทร์ ,และล่มสลายไปในราตรี.”
    “เรื่อง!มากมายที่ข้าจำได้ และบางเรื่องสามารถทำให้เป็นบ้าไปได้หากจะเอาเหตุผลมาจับ,เพราะมันไร้เหตุผลแต่เป็นจริง. ข้าสามารถเล่าถึงเผ่าพันธุ์หลายแหล่.ออกมาจากหมอกเร้นลับ,ผ่านไปตั้งถิ่นฐานทั่วโลก เป็นละลอกไม่หยุดพักจบสิ้น.แล้วก็หายไป ในหมอกเร้นลับเหมือนๆกัน.เรา ชาวยักกา ได้เห็นพวกเขาเข้ามาและจากไป.ทุกเผ่าพันธุ์ตกเป็นทาส เป็นวัวควายแบกแอกลากไถให้เทพยากาทั้งสิ้น.เราไม่เพีียงคงทนร้อยปี.พันปี.แต่อยู่ยงมาเป็นยุคชั่วกัลป์กาล.
    “ทำไมเราจะครอบครองตลอดไปไม่ได้? พวกกูราโง่ๆจะเอาชนะพวกเราได้อย่างไร? เจ้าก็เห็นแล้ว.เห็นมากับตาตนเอง,เห็นฝูงเหยี่ยวศึกของข้า,โฉบลงในยามรัตติกาล.ลงบนเมืองของมนุษย์วานร.และพวกมันจะเข้าถึงเมืองของเราบนยอดยุทธลาได้อย่างไร?จะมาถึงดินแดนแย้ก พวกมันต้องข้ามแม่น้ำย๊อคน้ำสีม่วง ที่กระแสแรงเชี่ยวจนไม่อาจว่ายข้าม.นอกจากตรงสะพานหินธรรมชาติ ตรงนั้นข้ามได้หรอก.แต่ยามสายตาไวบนหอคอยที่เฝ้าอยู่ทั้งวันทั้งคืน ก็จะเห็น.ครั้งหนึ่งพวกกูราพยายามเข้าตียักกา.ยามที่หอคอยบินมาเตือนเรา.และนักรบแห่งแย็กก็รู้ตัวพร้อมรับมือ.กลางทะเลทราย ผู้รุกรานถูกทำลายสิ้น,ด้วยความหิวน้ำ.ความบ้าหลัง.และลูกธนูเป็นแสนดอกที่กระหน่ำยิงลงมา จากบนฟ้า เจ้าคิดดู,, เล็งจากคนบินอยู่บนฟ้ากลางทะเลทรายโล่ง ไม่มีที่ให้หลบ.ศรคมเป็นหมื่นแสนตกลงเหมือนเม็ดฝน”
    “สมมุติว่า ข้าศึกเหลือรอดจากการรุมฆ่าข้างเดียวที่ทะเลทรายมาได้.มาถึงหินยุทธลา? พวกมันยังต้องข้ามแม่น้ำเลาะยุทธลาอีกสาย .และถึงข้ามมาได้ต้องปีนกำแพงที่ฝั่งน้ำ.ผ่านคมหอกของพวกอักกาที่รุมทิ่มแทงจากบนกำแพงที่สูงกว่า เข้ามา.แล้วไงต่อ?.มันก็ปีนขึ้นมาข้างบนไม่ได้. ไม่มีทาง!ไม่มีทาง; ฝ่าเท้าคนต่างถิ่นไม่มีทางเหยียบลงบนยักกา.และหาก-หากเป็นความประสงค์ของเหล่าเทพจะให้มันเกิดขึ้น"ถึงตอนนี้หน้าเลอโฉมของแจสมีนา เพิ่มความเหี้ยมโหดน่าสยอง. “แทนที่จะยอมแพ้,ข้าจะปล่อย"สิ่งน่ากลัวที่สุด" ออกมาพวกข้าศึกก็จะแหลกยับอยู่ระหว่างซากนครของข้า" หล่อนใช้เสียงกระซิบเหมือนพูดกับตัวเองไม่ใช่พูดกับผม.
    “พระนางว่าอะไรนะ?” ผมไม่เข้าใจ ถามออกไป
    “มีความลับอยู่ใต้ผ้ากำมะหยี่ดำ. อย่าย่างเท้าเข้าไปยังที่ซึ่งแม้แต่ปวงเทพยังตัวสั่น.ข้าไม่ได้พูดอะไร,เจ้าไม่ได้ยินอะไร.จำไว้นะ"
    เรานิ่งกันไปชั่วขณะ.และแล้วผมก็ถามคำถามที่คาใจมานาน " พวกทาสสาวผิวสีเหลืองและสีทองแดงมาจากไหน?”
    “หากเจ้าขึ้นไปบนยอดหอคอยสูงที่สุด และมองไปทางใต้ ในวันที่อากาศแจ่มใส.เจ้าจะเห็นเส้นสีฟ้าจาง ทีีขอบฟ้า.นั่นคือ วงคาด ที่คาดล้อมโลก.นอกวงคาดออกไป คือซีกโลกอีกด้าน,โลกซีกใต้.. มีเผ่าพันธุ์ต่างๆหลากหลาย นี่คือที่ๆเราจับพวกทาสเหล่านี้มา..เหยี่ยวยากาของข้า บินไปล่าทั้งด้านในและด้านนอกของวงคาด"
    ผมจะซักถามเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์นอกวงคาดพวกนี้อีก..ก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ อย่างเกรงกลัว. แจสมีนาหน้าบึ้งที่ถูกขัดจังหวะแบบนี้,ถามออกไปเสียงเขียว.มีเสียงสั่นๆของหญิงสาวตอบมาว่า ท่านโกทรา ต้องการเข้าพบ.แจสมีนาถ่มน้ำลาย ตะคอกตอบว่า ให้โกทราไปตายเสีย.แต่สักพักก็เปลี่ยนใจ
    “ไม่.ข้าต้องออกไปพบไอ้คนนี้" หล่อนกล่าวและลุกยืน. “เทดต้า อีเด็กต้นห้องข้าไปไหน .นี่ข้าจะต้องออกไปเปิดรับโกทราเองหรือ.ต้องเฆี่ยนก้นมันให้ยับ รอที่นี่ มือเหล็ก,ข้าจะออกเปิดรับโกทราที่ประตูด้านนอก"
    แจสมีนา ก้าวข้ามห้องเกลื่อนหมอนที่นอนนุ่ม ก้าวยาว.เร็วว่องไว.เปิดประตูออกไป.ปิดประตูลงกลอนไว้อย่างเดิม..เกิดความคิดพิศดารขึ้นทันทีในสมองผม. ไม่ใช่แผนการล่วงหน้าอะไร มันเกิดจากแรงบันดาลใจแวบมาทันทีมากกว่า.ผมต้องแกล้งทำเป็นเมาหมดสติ..จากประสบการณ์หลายแหล่ที่เคยสอนให้ เสี่ยง!เสี่ยงแม้จะไม่เห็นทางชนะ.ผมคว้าเหยือกแก้วผลึก ที่บรรจุไวน์สีทอง.ไปเทใส่ไว้ในแจกันใบใหญ่ที่ตั้งแอบอยู่ริมม่าน.ผมดื่มมันมาเมื่อกี้มากพอที่จะมีกลิ่นไวน์คลุ้งจากปาก.
    และผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดทางด้านนอก ผมรีบล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนเตียงหลังหนึ่งทันที.ปล่อยเหยือกเหล้าเปล่าให้กลิ้งอยู่ข้างกาย. ผมได้ยินเสียงเปิดประตู.มีความเงียบเงียบสนิทขึ้นชั่วขณะ และเสียงแจสมีนาถ่มน้ำลาย.ขู่ฟ่อเหมือนแมวโกรธจัด.“ผีห่า นี่มันแอบหยิบมาดื่มเสียหมดเหยือกเชียวหรือ?ดูซีมันเมาพับน่าทุเรศแค่ไหน.ร่างสง่างามที่สุดก็น่าขยะแขยงสุดๆตอนเมาไม่ได้สติ.ก็ดี.ทำธุระของเราต่อไปเถิด.ไม่ต้องกลัวว่ามันจะได้ยิน"
    “ให้ข้าตามนักรบเข้ามาลากมันกลับห้องขังเสียก่อนไม่ดีหรือ?” เสียงโกทราพูด.”เราไม่อาจเอาความลับที่จะพูดกันมาเสี่ยง,ใครอื่นนอกจากราชินีแห่งยักกา และทหารคนสนิทจะรู้ไม่ได้"
    แจสมีนาหัวเราะ.
    “ไม่ต้องกลัว .สายพรุ่งนี้แหละมันถึงจะฟื้น.ยุทธลาอาจจะแตกถล่มลงย๊อก โดยมันจะไม่ตื่นจากความฝันเมามาย.ไอ้โง่! คืนนี้มันจะได้เป็นเจ้าโลก.เพราะข้าจะให้มันเป็นเจ้าของเรือนร่างราชินีของโลก—ชั่วคืนหนึ่ง.แต่สิงห์ตัวผู้ไม่มีวันเปลี่ยนขนคอ.คนเถื่อนก็ไม่มีเปลี่ยนนิสัยเถื่อน.”
    “ทำไมไม่เอามันไปทรมาน" โกทราบ่น.
    “เพราะข้าต้องการผู้ชายเต็มตัว.ไม่ใช่ร่างพิการยับเยิน,โชกเลือด,ที่เหลือแค่ลมหายใจ.มีอีกอย่าง,ใจคนๆนี้ ไฟและเหล็กก็หักไม่ลง.ไม่. ข้าคือแจสมีนา และข้าจะทำให้มันรักข้าให้ได้,ก่อนที่จะเอามันไปเป็นอาหารแร้งกา. เจ้านำ อัลตาชาวโคธ ไปรวมในกลุ่ม สาวบริสุทธ์แห่งจันทราหรือยัง?”
    “ไปรวมแล้วพระเจ้าข้า. ราชินีแห่งดวงดาวมืด. อีกเดือนครึ่งจากคืนนี้ไป หล่อนจะไปเต้นรำตามบทเพลงแห่งจันทรากับหญิงอื่นที่ได้รับเลือกให้เข้า ในเทศกาลพิธี สังเวยสาวบริสุทธิ์แห่งจันทรา"
    “ดี,จัดนักรบเฝ้าไว้ทั้งกลางวันกลางคืน,หากเสือตัวนี้รู้ว่าเราจะทำอะไรกับคนรักมัน, โซ่ตรวนก็ล่ามมันไม่อยู่"
    “ข้าจัดนักรบร้อยห้าสิบคนเฝ้าตัวเหล่าสาวบริสุทธ์แห่งจันทรา.” โกทราตอบ. “มือเหล็กไหลุดไปก็เอาชนะไม่มีได้"
    “ดีแล้ว. ทีนี้มาเรื่องอื่น. เอาแผ่นหนังมาหรือเปล่า?”
    “เอามา พระเจ้าข้า"
    “ข้าจะลงนาม.ส่งปากกาให้ข้า"
    ผมได้ยินเสียงคลี่แผ่นหนัง,เสียงแกรกกรากจากปากกา,และราชินีก็กล่าว;
    “เอาไป ,เอาไปวางไว้ที่เดิม,อย่างที่ข้าสัญญาไว้ในสาสน์นี้.คืนพรุ่งนี้ ข้าจะไปปรากฏร่างพบ สาวกผู้บูชานับถือด้วยตัวเอง. หมูผิวสีน้ำเงิน..ฮ่ะ! ฮ่ะ!ลงไปหนใดข้าอดขำไม่ได้ สังเวชสีหน้าหวั่นกลัวผสมบูชาของพวกมัน.เมื่อข้าก้าวออกจากเงาฉากทอง ยกแขนเหนือพวกมันให้พร.โง่อะไรอย่างนี้.เวลาผ่านไปนานแสน พวกมันไม่เคยไปพบไปเจอประตูลับและช่องทางที่เชื่อมวิหารข้างล่างกับห้องๆนี้"
    “ไม่แปลกหรอกพระนาง" โกทราพึมพำ "ไม่มีใครนอกจากพวกพระ จะก้าวผ่านเข้าในวิหารได้.นอกจากถูกเรียกตัว. พวกพระเองก็งมงายจนไม่กล้าเข้ามาใกล้ฉากทอง,สถาปนิกดั้งเดิมสะกัดเจาะหินติดตั้งบานประตูลับได้แนบเนียนเข้ามุมเข้าเหลี่ยมสนิทมองจากข้างนอกไม่มีเห็นรอย"
    “ดีมาก" แจสมีนาตอบ "ลงไปได้"
    ผมได้ยินโกทรา คลำบางสิ่งกุกกัก.และเสียงเอี๊ยดเบาๆ.อยากรู้เต็มแก่.ผมเสี่ยงหรี่ตานิดหนึ่ง. ทันได้เห็นโกทรา หายลงไปในช่องมืดที่พื้นหินตรงกลางห้อง,ช่องที่ว่าปิดลงเมื่อเขาลับกายลงไป.ผมรีบหลับตา.นอนนิ่ง,ฟังเสียง
แจสมีนา เดินวนกลับไปมาเหมือนเสือดาว.
    คราวหนึ่งหล่อนหยุดเดิน เข้ามายืนค้ำหัวผม.ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่เธอจ้องลงมายังกะไฟ.ได้ยินเสียงหล่อนแช่งด่าเบาๆ.แล้วแจสมีนาก็ตบหน้าผมฉาดใหญ่ เครื่องประดับอัญมณีที่นิ้วเหล่อนฉีกเนื้อผมได้เลือดหยด.แต่ผมทำนอนนิ่งไม่รู้ไม่ชี้ไม่ยอมกระดิกตัวแม้สักนิด.ตอนนี้หล่อนก็ออกจากห้องไปบ่นพึมพำ.
    เมื่อเสียงประตูปิดดังขึ้น,ผมลุกยืนอย่างรวดเร็ว,สำรวจไปตามพื้นหิน มองหารอยช่องที่โกทราหายลงไป.พรมปูพื้นถูกดึงออก จากพื้นที่กลางห้อง,ช่องลับต้องอยู่ที่นี่ตรงนี้, แต่ผมก้มหา,คลำหา,ลูบหาตรงนั้นเท่าไรก็ไม่พบร่องรอย.ช่างก่อสร้างประตูลับสมัยโน้นมันยอดเยี่ยมจริงๆ.หัวใจผมเต้นแรงหวั่นว่าแจสมีนาอาจจะกลับมา,ทันใด ใต้ฝ่ามือผมนี่เอง,ส่วนหนึ่งของพื้นก็แยกตัวจากส่วนอื่น,และเริ่มเคลื่อนขึ้น.ผมกระโดดเงียบเหมือนเสือดาวไปที่ม่านบนผนัง.ซ่อนตัวอยู่หลังตั่งเตียงที่ตรงนั้น, มองดูบานประตูลับเปิดออก.และหัวเรียวแคบของโกทราปรากฏขึ้นตามด้วยปีกไหล่.และลำตัว.
    เขาปีนกลับเข้ามาในห้อง,และเมื่อเขาหันตัวกลับก้มลงจะปิดประตูที่พื้น.ผมกระโดดข้ามห้องเหมือนแมว พรวดเดียวข้ามตั่งเตียงที่ซ่อน.ทิ้งตัวลงไปบนไหล่เขา.
    โกทราล้มครืนลงด้วยน้ำหนักตัวผม,นิ้วผมบีบคอปิดเสียงร้อง,เขาพยายามดิ้นสะบัดจะให้หลุด.ใบหน้าแสดงความกลัวผมแทบบ้า,จ้องหน้าผม,โกทราล้มลงบนพรมปูพื้น.พยายามดึงมีดที่เอว ผมเอาเข่ากดมือเขาไว้.
คุกเข่าทับบนร่างโกทรา.ผมระบายความโกรธบ้าคลั่ง ที่มีต่อเผ่าพันธุ์จัญไรของเขา.ค่อยๆบีบคอ.แน่นขึ้น.แน่นขึ้น ช้าๆ ทำหน้าเยาะเย้ย,มองหน้าบิดเบี้ยวที่กำลังตายเพราะไม่มีอากาศเข้าปอด.โกทราต้องขาดใจไปหลายนาทีก่อนที่ผมจะปล่อยมือ.
    ลุกยืน,ผมมองลงไปในช่องทางลับ.แสงไฟจากคบด้านบนส่องให้เห็นปล่องมืด.มีขั้นบันไดแคบๆสะกัดจากหินทอดหายไป,เห็นได้ชัดว่าปล่องนี้เจาะผ่านหินยุทธลาทั้งก้อน,จากการสนทนาที่ผมได้ฟังเมื่อครู่,มันต้องไปสุดที่วิหารของพวกอักกา,ในเมืองข้างล่าง.ผมแน่ใจว่าหนีออกจากเมืองอักกา ไม่ยากกว่าหนีจากยักกา.ผมยังลังเล,หักใจทิ้งอัลตาไว้ที่นี่คนเดียวไม่ได้,แต่ทางอื่นไม่มี,ผมไม่รู้ว่าตอนนี้หล่อนถูกขังอยู่ที่ไหนในเมืองผีนรกนี้,และจำคำพูดของโกทราได้ว่า มีนักรบจำนวนมากควบคุมอยู่.
    เทศกาลพิธีสังเวยสาวบริสุทธิ์แห่งจันทรา! เอาชื่องานนี้มานึกพิจารณา เม็ดเหงื่อเย็นก็ผุดออกมาที่หน้า.ชื่อมันฟังพิลึก.พิธีสังเวยสาวบริสุทธิ์แห่งจันทรา;มีหมายกำหนดการละเอียดอย่างไรผมไม่รู้,แต่ประติดประต่อจากคำสนทนาของพวกผู้หญิงยากาที่ผมเผอิญได้ยินมา,มันไม่ใช่พิธีเพื่อบูชาเทพแห่งดวงจันทร์อะไร,มันเป็นเทศกาลลามกข่มขืนหมู่,พิธีดำเนินไปแบบสัตว์ป่า.เมามาย,ทารุณ,และจบสิ้นลงที่เสียงครางครั้งสุดท้ายก่อนขาดใจจากทาสสาวผู้ได้รับเลือกเข้าพิธี. ไม่ได้สังเวยจันทร์เจ้าหรือเทพอะไร.มันจัดขึ้นเพื่อสังเวยเทพองค์เดียวที่ยาการู้จักและยอมรับ.เทพแห่งตัญหาราคะของตน.
    ความคิดที่ว่า อัลตาจะต้องตกเข้าในชะตากรรมแบบนี้ ทำให้ผมเกือบบ้าเลือด.แต่ผมระงับอารมณ์ไว้จนได้,มีทางเสี่ยงทางเดียวให้เลือก-ผมต้องหนีไปคนเดียว,หาทางกลับไปโคธ และพาคนจำนวนมากพอมาช่วย.ใจผมแป้วเมื่อ พิจาณาว่างานนี้มันทำยากขนาดไหน.แต่ไม่มีอย่างอื่นให้ทำ.
    ยกร่างปวกเปียกของโกทรา, ออกจากห้องทางประตูด้านอื่นจากด้านที่แจสมีนาออกไป.ผมแบกศพโกทราไปตามทางเดิน.โชคดีที่ไม่พบใคร.ผมซุกศพไว้หลังม่านในห้องๆหนึ่ง,แน่ใจว่าในที่สุดก็จะมีคนไปพบ,แต่ถึงตอนนั้นผมคงพอหนีไปได้สักพักแล้ว.บางทีการที่ศพไปอยู่ห้องที่ห่างออกไป.ไม่ได้อยู่ในห้องที่มีช่องทางลับ.อาจตบตาแจสมีนาได้ ถึงทางหนีที่ผมใช้.และอาจลวงให้แจสมีนา คิดว่าผมยังซ่อนอยู่บางแห่งในยักกา.
    สำนึกว่าตนเองชักจะต้องพึ่ง"ตัวโชค"หลายตัวไปหน่อยแล้ว ตัวพวกนี้เรียกหามามากมันจะแน่นและฆ่ากันเอง,.ถ้ายังรีรออยู่,ไม่มีพ้นถูกจับ,กลับไปยังห้องเดิม.ผมจัดพรมคลุมประตูช่องให้ดูเรียบที่สุดเท่าที่ทำได้-มุดเข้าไปใต้พรม เปิดประตูมุดลงไป.และปิด.ลงมาแล้วมันมืดสนิท.ผมคลำหาไปจนพบกลอนที่ใช้เปิดปิดประตู,จดจำตำแหน่งกลอนนี้จนแน่ใจว่าจะหามันพบอีกหากประตูด้านล่างเปิดไม่ออกและต้องย้อนกลับมา.ผมคลำทางลงบันไดในความมืดเหมือนหมึก.หวั่นใจเหมือนกันว่าจะเจอกับดักหลุมพราง.หรือสัตว์ร้าย แต่ไม่มีเหตุร้ายอะไร.จนผมลงถึงบันไดขั้นสุดท้าย ,คลำทางผ่านทางเดินสั้นๆ และมาพบผนังตัน. คลำหาสักพักก็พบกลอนโลหะ.เมื่อผมยกกลอนนี้,ส่วนหนึ่งของผนังตันก็หมุนออก.ผมโผล่หัวออกไปตาฟางจากแสงแทงตา,กระพริบตาให้ชินชั่วครู่.มองรอบๆอย่างระวังตัวสุดๆ,
    เห็นได้ว่า ผมออกมาอยู่ในห้องโถงใหญ่,,แต่มีฉากใหญ่กั้นอยู่ข้างหน้า ฉากนี้เป็นแผ่นทองคำใหญ่ แกะลวดลาย ,ที่ริมแผ่นทองแสงไฟสีแปลกส่องวับแวบเหมือนเปลวเพลิง.
    ผมก้าวออกจากช่องลับ,ย่องไปที่ริมฉากโผล่หัวไปมอง. หน้าฉากเป็นห้องกว้าง,จัดสร้างแบบเรียบง่าย และใหญ่เทอะทะน่าเกรงขาม อันเป็นลักษณะทั่วไปของสถาปัตยกรรมอัลมูริก.เพดานสูงอยู่ในเงามืดเพราะพ้นแสงไฟส่อง,ผนังเป็นสีดำ,มีประกายด้านๆ.ไม่มีสิ่งประดับ,ห้อง,น่าจะสร้างไว้เป็นโบสถ์,วิหารนี้ ว่างเปล่า มีเพียงก้อนหินเหลี่ยมใหญ่สีดำ,เห็นได้ชัดว่าเป็นแท่นบูชา ที่กลางห้อง,มีประกายแวบส่องออกมาจากแท่น,มันเป็นแสงสะท้อนจากแก้วมณีก้อนเขื่องที่ฝังอยู่หัวแท่น,ผมสังเกตุร่องเล็กๆ,ช่างแกะหินลงไปเป็นร่องเหมือนร่องน้ำขนานแท่นทั้งสี่ด้าน ตามร่องมีคราบสีน้ำตาลคล้ายเลือดแห้งเกาะกรังติดอยู่, กลางแท่นสลัวนี้ แผ่นหนังแผ่นหนึ่งม้วนวางอยู่,---บัญชาจากแจสมีนามาถึงเหล่าสาวก.ผมเดินสะดุดพบความลับ; เบื้องหลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือศักดิ์สิทธิ์ของอักกาเข้าโดยบังเอิญ.--สะดุดพบรากฐานชั้นล่างสุดที่ความเชื่อทางศาสนาของพวกอักกาทั้งสิ้นตั้งอยู่;ซึ่งก็คือ การปรากฏกายอย่างเร้นลับ อธิบายไม่ได้คือหายตัวลงมา ของเทพธิดาจากวิมานเบื้องบนด้วยตัวเอง.แปลกมากที่ ;ศาสนาทั้งศาสนา มีกำเนิดจากแค่ตรงเหล่าผู้นับถือ,ไม่รู้ว่าหลังฉากทอง มีทางให้คนแอบลงมาได้. และมองในสายตาชาวโลกเดิม มันแปลกยิ่งกว่าตรงที่,มีเพียงเผ่าที่โง่เขลาที่สุด จะมีศาสนาซึ่งมีระเบียบวิธีการ, บทบัญญัติฯลฯ สำหรับคนโลกเดิมลักษณะเช่นนี้ แสดงถึงจิตใจของเผ่าพันธุ์ที่อยู่ระดับสูงขึ้นมาพ้นคำว่าป่าเถื่อน,
    แต่ศาสนาของชาวอักกา น่าจะร้ายกาจมืดดำ,บรรยากาศโบสถ์นี้มันออกแนวน่าสยอง.ผมจินตนาการมองเห็นความนับถือจนคลั่งไคล้ลนลานของพวกผิวสีน้ำเงิน.เมื่อยามแลเห็น,เทพเจ้ามีปีกของพวกเขาปรากฏตัวขึ้นฉับพลัน หน้าฉากทอง,เหมือนมีฤทธิ์แทรกกายผ่านใยละอองของอากาศออกมาได้.
    จดจำวิธีปิดเปิดประตูด้านนี้จนจำได้อีกครั้ง ผมปิดประตูแล้วย่องปราดข้ามโบสถ์.ข้างประตูมีชายผิวน้ำเงินล่ำสัน สวมเสื้อคลุมออกแบบได้สุดฝันเฟื่อง,นอนกรนสนั่นบนพื้นหินไม่มีผ้าปูรอง,เป็นได้ว่าตอนที่โกทราเอาสาสน์ในแผ่นหนังลงมาวางเขาก็ไม่ได้ตื่น. ผมก้าวข้ามตัวเขาพยายามให้เงียบเบาที่สุดเหมือนแมวข้าม.กำมีดของโกทรา,เขาไม่รู้สึกตัว,และนาทีต่อมา ผมก็ออกไปข้างนอก,ยืนถอนใจสูดอากาศแม่น้ำเฮือกใหญ่.
    วิหารตั้งอยู่ในเงามืดแห่งยุทธลา.คืนนี้เดือนแรม,มีเพียงดาวระยิบระยับนับแสน ประดับฟากฟ้าอัลมูริก
 ไม่เห็นมีแสงไฟสักดวงตามบ้านเรือน,ไม่มีการเคลื่อนไหว.พวกอักกาผู้เชื่องช้าต่างนอนหลับสบาย.
    ผมวิ่งเร้นกายแผ่วเบาเหมือนภูติผีไปตามถนนแคบๆ. พยายามไปตามเงาของอาคาร.ไม่พบใครสักคน. จนมาถึงกำแพงริมน้ำ,สะพานชักมหึมาทางข้ามทางแม่น้ำทางเดียว กว้านโซ่ชักขึ้นปิดอยู่. และที่ประตูข้ามสะพาน ยามผิวสีน้ำเงิน นั่งกอดหอกสัปหงกงึกงัก,ประสาทสัมผัสคนพวกนี้ เชื่องซึมเหมือนสัตว์เลี้ยงใช้งาน ไม่ว่องไวเหมือนสัตว์ป่า.ผมอาจจะสังหารยามนั่งหลับคนนี้ได้ง่ายๆ.แต่ผมฆ่าโดยไม่จำเป็นแบบนี้ไม่ลง.ผมผ่านเขาในระยะสี่สิบเมตร เขาก็ไม่รู้สึกตัว ผมโดดขึ้นไปขอบกำแพงหินหย่อนตัวลงน้ำอย่างเงียบกริบ.
    สายน้ำที่นี่ไม่แรงเหมือนแม่น้ำย๊อคน้ำสีม่วง ว่ายข้ามได้ไม่ยาก,มาขึ้นฝั่งตรงข้าม.ผมหยุดชั่วขณะ วักดื่มน้ำในแม่น้ำเย็นๆหลายอึกใหญ่; แล้วก็ข้ามทะเลทราย,วิ่งเหยาะๆก้าวยาว,ก้าวเร็ว,ไม่นานก็กินทางได้เป็นไมล์ๆ---อินเดียแดงอาปาเช่ในแถบตะวันตกเฉียงใต้บนโลกเดิมถิ่นเดิมบ้านเกิดผม.เฆี่ยนม้าให้วิ่งด้วยความเร็วเท่าผม นานเท่าผม, ม้าเหนื่อยตับแตกตายไปนานแล้ว.
    เพียงค่อนคืนผมก็มาถึงฝั่งแม่น้ำสีม่วง.ตอนวิ่งมาผมพยายามอ้อมเพื่อให้ห่างหอคอยยาม.แต่เมื่อถึงฝั่งแม่น้ำย๊อค เข้าจริงๆ.คุกเข่าลง มองลงไปตามตลิ่งสูงชัน,มองลงไปที่สายน้ำเชื่ยวกรากสีม่วง,หัวใจแป้ว อย่าว่าแต่ในสภาพเหนื่อยอ่อนเพราะวิ่งมาค่อนคืนอย่างผมเลย.ต่อให้เอาคนว่ายน้ำแข็งที่สุดทั้งบนโลกเก่าหรืออัลมูริก ก็ไม่มีทางว่ายต้านกระแสเชี่ยวแบบนี้,ผ่านสายน้ำ,วังวนติ้ว,หลุดเข้าไปช่วยตัวเองไม่มีได้.มีทางเดียว.วิ่งเลาะฝั่งน้ำไปตรงมีแก่งหินทอดข้ามฝั่ง,คือตรงหอคอย.ก่อนจะสว่าง,และเสี่ยงแฝงตัวโดดข้ามไปตามโขดหิน.ใต้จมูกยามบนหอคอย.ทำแบบนี้ก็คือ ทำแบบบ้า,แต่ทางเลือกอื่นไม่มี.
    ทว่าเมื่อฟ้าสว่างเหนือทะเลทรายผมยังไปไม่ถึงแก่งหิน เหลือทางอีกเป็นพันหลา.มองไปยังหอคอย.ที่ค่อยๆปรากฏชัดขึ้นๆ,กลางฉากหลังที่สว่างขึ้น.สว่างขึ้น.ผมเห็นร่างหนึ่งพุ่งปราดขึ้นจากหลังคาหอและตรงรี่มา.แผนแบบสิ้นหวังแผนหนึ่งเกิดขึ้นในใจ. ผมแกล้งทำเป็นโซเซ, ก้าวปัดเป๋มาสองสามก้าว,แกล้งล้มลง,บนทรายริมฝั่งน้ำ.ผมได้ยินเสียงปีกกระพือวนรอบๆเหมือนนกฮาร์ปี้ร้ายในนิยายกรีกวนรอบเหยื่อ.และเขาก็บินต่ำลง.ยากาคนนี้คงจะอยู่เวรยามคนเดียวบนหลังคา ขณะที่คนอื่นที่ออกเวรยังไม่ตื่นนอน.และบินมาตรวจสอบมนุษย์ที่สิ้นสติคนหนึ่ง.โดยไม่ได้ปลุกเพื่อน.
    หรี่ตามอง.ผมเห็นเขาบินลงพื้นใกล้ๆ.เดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง.เงื้อดาบโง้งเตรียมฟัน.เขาเอาเท้าสะกิดผม คงจะดูว่าผมเป็นหรือตาย. ทันใดผมคว้าขาทั้งสองข้างของเขากระชากล้มลง,ทับบนตัวผม.ยากาเปล่งเสียงด่าผมรีบบีบคอเขาปิดเสียงไว้ก่อนที่มันจะดังพอไปถึงพรรคพวก.และท่ามกลางการบิดตัว.การกระพือปีก.การพยายามใช้ทั้งขาและแขนตอบโต้.ผมพลิกตัวเขาลงด้านล่างคล่อมเอาเข่ากดทับอกไว้. ระยะประชิดตัวเช่นนี้ เขาใช้ดาบไม่ถนัด,ผมบิดแขนเขาจนต้องทิ้งดาบ,ผมเค้นคอยากาจนเขาแทบสิ้นสติในสภาพมีนงงเช่นนี้ ผมรีบมัดมือเขา.ฉุดลุกขึ้นยืน.ขึ้นขี่หลัง,ไขว้ขาแน่นรอบกาย,ใช้แขนซ้ายรัดคอ,และมือขวากดปลายมีดของโกทราลงไปที่คอ.
    ใช้คำสองสามคำ ผมบอกว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง,หากอยากมีชีวิตอยู่, ไม่ใช่ธรรมชาติของยากาที่จะสละชีวิต แม้สละเพื่อชาติ.และแล้ว เราก็ทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เพิ่งจะเริ่มรุ่งอรุณ,.หายออกไปจากดินแดนแย๊ก หายเข้าไปในหมอกยามเช้า,ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้.

        บทที่11
    ผมเร่งความเร็วปีศาจมีปีกตนนั้น อย่างไม่ปรานี.ไม่กระทั่งอาทิตย์ตก ผมจึงยอมให้เขาบินลงดิน,ลงมาแล้วผมมัดขามัดปีกแน่นหนาเขาไม่อาจหนีได้,หาเก็บผลไม้และถั่วมาป้อนเป็นอาหาร,ผมให้เขากินเท่าๆกับผม,เขาต้องการพลังงาน หากจะพาผมบินต่อไป.คืนนั้นเสียงสัตว์ล่าเหยื่อ มาป้วนเปี้ยนส่งเสียงคำรามใกล้ๆเรา.ยากาหน้าซีดด้วยความกลัว,เราไม่มีเครื่องมือจุดไฟเพื่อสร้างวงไฟป้องกันตัว.แต่ก็ไม่ถูกทำร้าย. เราทิ้งป่าทึบริมแม่น้ำสีม่วงมาไกล,ไกลมากทางเยื้องหลัง. ตอนนี้บินข้ามทุ่งหญ้า,ผมพยายามใช้เส้นทางตรงที่สุดไปยังโคธ,ตามสัญชาติญาณป่าที่ไม่เคยพลาดของตนเอง,เกาะหลังยากาบินไปตาก็สอดส่ายมองฟ้าทางหลัง ค้นหาผู้ติดตาม,แต่ไม่มีรูปร่างดำปรากฏอยู่เหนือขอบฟ้าทางใต้.
    เป็นวันที่สี่นั่นแหละที่ผมมองเห็นกลุ่มสีดำเคลื่อนที่อยู่บนทุ่งราบข้างล่าง, กลุ่มดำซึ่งผมว่าน่าจะเป็นกองทัพคนกำลังเดินทาง.ผมสั่งให้ยากาหันไปทางนั้นและบินต่ำลง,ผมรู้ว่าตอนนี้ มาถึงพื้นที่กว้างที่ควบคุมโดยเผ่าโคธ. และมีโอกาสเป็นได้มากว่านี่คือนักรบโคธ.หากเป็นจริง,พวกเขากำลังยกทัพ.เพราะเมื่อบินต่ำลง ผมเห็นคนจำนวนเป็นพัน ตั้งแถวเดินไป.
    ความสนใจในภาพด้านล่างมีมากจนเกือบทำให้ผมจบชีวิต.ระหว่างการบินมา.ผมแก้เส้นหนังที่ผูกขายากาออก.เขาสบถสาบานว่า ถูกมัดขาแล้วบินไม่ได้,แต่ผมไม่ได้แก้เชือกมัดมือออก, ระหว่างที่เพ่งมองพิจารณากองทัพที่พื้นดินด้านล่าง,ผมไม่ทันเห็นว่าเขาเริ่มแอบยกหนังมัดมือขึ้นกัด,มีดผมอยู่ในซองที่เอว.เพราะตลอดเวลาที่บินกันมา ยากาตนนี้ไม่แสดงทีท่าว่าจะต่อสู้, รู้ถึงการต่อต้านครั้งแรก เมื่อเขาบินหักทางซ้ายฉับพลัน.ผมหัวทิ่ม,แขนที่เกาะคอเขาเกือบหลุด.มือหนึ่งของยากา เอื้อมมาที่เอวผม,วินาทีต่อมา มีดในซองผมก็เป็นประกายวับอยู่ในมือเขา.
    สิ่งที่เกิดต่อมา คือการต่อสู้เอาชีวิตแบบหาทางรอดยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผม, ตัวผมหลุดจากหลังยากา มาห้อยอยู่ข้างหน้า.เกาะติดอยู่ด้วยมือหนึ่งดึงผมเขา,มืออีกข้างจับยันมือที่เงื้อมีดของยากา ขาเกี่ยวรัดอยู่กับขายากาได้ข้างเดียว,เหนือผืนโลกเป็นพันฟุตร่างสองเรา,บิด,สะบัด,ยึดเกาะ,ชัยชนะของเขาอยู่ที่สลัดผมหลุดให้หล่นลงไปตาย,ชัยชนะของผมคือ ยึดตัวไว้ไห้ได้.และไม่ปล่อยมือข้างที่กำมีดของเขาให้แทงลง.
    หากอยู่บนแผ่นดิน กำลังที่เหนือกว่าของผม คงจะจบการต่อสู้นี้อย่างรวดเร็ว.แต่บนอากาศ เขาได้เปรียบ.มือข้างที่เป็นอิสระทุบและข่วนตะกุยหน้าผม,ขาข้างที่อิสระงอเข่าอัดลง หว่างขาผมครั้งแล้วครั้งเล่า.ผมกัดฟันทน.รับการโจมตีเจ็บปวดนี้ไม่ปริปาก,เพราะเห็นแล้วว่ายิ่งเกาะกันอยู่ได้แบบนี้นานเท่าไร.เราทั้งคู่ยิ่งลงใกล้พื้นดินเข้าทุกทีๆ. ใช้ทั้งมือทั้งขาเต็มกำลัง,ยากาไม่มีแรงหรือสมาธิเหลือพอจะกวักปีกรักษาระดับไว้ได้.
     ยากาก็รู้ตัวเหมือนกัน ขืนยังเกาะกันไว้แบบนี้ ไม่นานคงได้ลงไปสู้กันต่อบนดินและเสร็จผมแน่.เขาใช้ความพยายามสุดท้ายคว้ามีดด้วยมือที่ยังไม่ถูกยึดจากข้างที่ถูกผมจับไว้.ยกมีดขึ้นสุดล้าจ้วงแทงผม,ในทันทีผมกระชากหัวเขาลงอย่างแรง.แรงพอทำให้สองเราตีลังกา .ตัวผมแกว่งพ้นทางมีด.เขายั้งมือไม่ทัน.แทงลงที่ขาอ่อนตัวเองเกือบมิดคม. ยากาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ.คงจะสิ้นสติไปด้วยความเจ็บ,เราทั้งคู่ร่วงผลอยลง.ผมพยายามเหวี่ยงกายของเขาลงใต้ร่างผม.แล้วเราทั้งคู่ก็กระแทกดินดังผลั่กใหญ่.
    ผมลุกยืนได้ หัวหมุนไปหมดจากแรงกระแทก.ยากาไม่ลุกได้เลย.กายเขาเป็นเบาะรับแรงกระแทกให้ผม.กระดูกเขาคงจะหักไปครึ่งค่อนตัว.
    เสียงร้องดังขรมก้องเข้าหูผม.ผมมองเห็นกลุ่มคนขนดกวิ่งเข้ามาหา,ผมได้ยินชื่อตัวเองจากปากเป็นพัน.ผมพบนักรบโคธ!.
    มีชายขนดกร่างยักษ์คนหนึ่ง จับมือผมเขย่าขึ้นลง.สลับกับตบหลังผมด้วยความหนักหน่วงพอจะล้มม้า.ปากก็ร้องก้อง;"มือเหล็ก! ไอ้มือเหล็ก!กรามท้ากมาเอง.มือเหล็ก จับมือข้าแน่นๆหมาศึกเฒ่า.สายฟ้าในนรก กูไม่เคยดีใจเท่าตอนนี้เลย ตั้งแต่วันที่กูหักคอครุช แห่งแทงกา "
    คนนี้คือโคธสุท มือบดกระโหลก.เครียดเคร่งถมึงทึงเหมือนเดิม,ตามติดด้วย ท็าบ ตีนเร็ว.กัชลัค ดุเหมือนเสือ, เหล่าผู้ทรงพลังแห่งโคธอยู่เกือบทั้งหมด. และวิธีที่เขาตบหลังผมร้องตะโกนต้อนรับ.นำความอบอุ่นมาสู่หัวใจผม.มากกว่าความอบอุ่นครั้งใดที่เคยได้รับมาบนโลกเก่า..เพราะผมรู้ดีว่าในหัวใจซื่อดวงใหญ่ของพวกนี้ ไม่มีที่ว่างสำหรับความลวงไม่จริงใจ.
    “แกไปอยู่ไหนมาหือ? มือเหล็ก? ท๊าบ ตีนเร็วถาม. เราพบปืนยาวพานท้ายหักของแกที่ทุ่งนอกเมือง,ยากานอนหัวแบะอยู่ตัวนึง,เราสรุปว่า ฝูงยากาจัดการแกไปแล้ว,แต่ก็หาศพแกไม่เจอ,จู่ๆแกก็โผล่ มาหกคะเมนผาดโผนสู้กับปิศาจปีกอีกตัว บนฟ้าสูงลิบ.ไปเมืองยักกามาหรือไง?” พูดแล้วท๊าบหัวเราะแสดงว่า เขาแค่พูดตลกๆ.
    “เออหว่า,ไปอยู่ยักกา,บนหินยุทธลา, ผ่านแม่น้ำย๊อก.ในแผ่นดินแย๊ก" ผมตอบ "ซาล มือขว้างอยู่ไหน?”
    “อยู่ป้องกันเมืองกับนักรบอีกพันคน.ที่เราให้เฝ้าเมือง.” โคธสุทตอบ
    “ลูกสาวของมันถูกขังอยู่ใน นครดำ" ผมพูด "วันจันทร์เพ็ญที่จะมาถึง,อัลตา ลูกสาวของซาล.และหญิงสาวกูราอีกร้อยห้าสิบคนจะต้องตาย,ถ้าเราไม่ไปขัดขวาง"
    เสียงพึมพำ จากความแค้นและความกลัวกระหึ่มจากเหล่านักรบ. ผมมองสำรวจไปที่แถวนักรบ, มีราวสี่พันคน;ไม่สะพายธนู,แต่มีปืนยาวติดตัวทุกคน.นี่หมายความถึงสงคราม.จำนวนคนแสดงว่า สงครามใหญ่ด้วย
    “พวกแกจะไปไหน?” ผมถาม
    “นักรบเมือง คอร์ ยกมาตีเมืองเรา,ห้าพันคน,นี่เป็นการสู้แบบล้างกันให้สิ้นไปเมืองนึง,เราต้องออกไปพบกับพวกมันนอกกำแพง,ผู้หญิงของเราจะได้ไม่ต้องเห็นความน่ากลัวของสงคราม"
    “ลืมนักรบคอร์เสียก่อน" ผมร้องจากอารมณ์แรง "แกจะไม่ให้ผู้หญฺิงของแกต้องเสียความรู้สึก,แต่ยังมีหญิงกูราอีกเป็นหลายๆพัน ทนทุกข์ทนความทรมานเท่ากับตกนรกทั้งเป็น,อยู่บนหินดำยุทธลาตามข้ามา!,ข้าจะพาเข้าไปบุกถึงรังของผีนรกที่เกาะสูบเลือดข่มเหง อัลมูริกมาเป็นพันๆยุค"
    “ยากา บนนั้นมีนักรบเท่าไร" โคธสุทถามไม่แน่ใจ"
     “สองหมื่น"
    ได้ยินคำนี้ ผู้ฟังล้วนร้องคราง.
        “หยิบมือเดียวของเรา จะไปทำอะไรจำนวนขนาดนั้นได้?”
    “ข้าจะแสดงให้ดู" ผมร้อง "ข้าพบทางเข้าไปโจมตีถึงกลางรังพวกมัน บนวิมานดำของพวกมันบนฟ้า"
    “ไป!" กอร์ร้องก้อง กวัดแกว่งดาบใหญ่ในมือ,ไฟรบลุกพรี่บจากคำของผม "มาเถิดเหล่าเพื่อนนักรบ ตามมือเหล็กไป!มันรู้หนทาง"
    “ แต่นักรบเมืองคอร์เล่า?” โคธสุทเตือน "พวกมันกำลังยกมาโจมตีเราเราต้องออกไปพบ"
    กอร์ถอนหายใจดังสนั่น เมื่อนึกถึงความจริงนี้ได้.และสายตาทุกคู่ก็หันมามองผม.
    “นั่นไว้เป็นภาระข้า" ผมเสนอข้อเสนอที่สิ้นหวัง,สำเร็จยากอีกแล้ว"ข้าจะไปพูดกับพวกมัน--”
    “มันฟันแกคอขาดก่อนที่แกจะเปิดปาก,” โคธสุทพึมพำ
    “จริง,” กอร์ยอมรับ"เรารบกับเมือง คอร์มาตั้งห้าหมื่นปีแล้ว.อย่าไปไว้ใจพวกมัน.เพื่อน.”
    “ข้าต้องยอมเสี่ยง,มันจำเป็นสุดๆ" ผมตอบ
    “แกได้เสี่ยงแล้ว.ตอนนี้" กัชลัค พูดเสียงเครียด.“พวกมันมาโน่น" ข้างหน้าไม่ไกลเรามองเห็นกลุ่มก้อนสีดำมุ่งเข้ามา
    “ปลดปืนจากบ่า บรรจุกระสุนให้เรียบร้อย" โคธสุทสั่งการ,ดวงตาเป็นประกาย,ชักดาบจากฝัก แล้วตามข้ามา.”
    “จะรบกันคืนนี้หรือ?” ผมถามมองดวงอาทิตย์ที่โคจรลงต่ำ. “ไม่ เราจะยกไปพบพวกมัน.ตั้งกระโจมพักพ้นระยะปืน.“อาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ ราจะโจมตีและเชือดคอพวกมัน"
    “ พวกนั้นก็จะทำอย่างเดียวกับเรา"แท๊บอธิบาย "โอ คงจะสนุกมาก"
    “และระหว่างที่พวกแก สนุกสนานอยู่กับการหลั่งเลือดที่ไร้ประโยชน์,โดยมาสู้กันเอง, ลูกสาว หรือเมียพวกแกและของพวกมันกำลังดิ้นรน,มือขาถูกมัด,กายถูกตรึงที่เครื่องทรมานของมนุษย์ปีกพ้นแม่น้ำย๊อค.ปากก็ร้องเรียกพวกเราให้ไปช่วย.เรียกโดยที่ไม่มีฝ่ายไหนได้ยิน ถึงได้ยินก็ไม่คิดจะพยายามไป,โง่ โง่นะ"
    “จะให้พวกเราทำไงได้?” กัชลัค ชี้แจง
    “ตามข้ามา" ผมตะโกนจากอารมณ์แรง "เราจะไปพบนักรบคอร์ และข้าจะเข้าไปหาพวกคอร์-- ไปคนเดียว.”
    ผมหันกลับ ก้าวข้ามทุ่งราบ, มนุษย์ขนดก แห่งโคธ ตามมาห่างๆ.หลายคนส่ายหัวและบนพึมพำ. ผมเห็นก้อนดำๆ เบื้องหน้า, ครั้งแรกก็เป็นแถวดำๆ,และรายละเอียดก็เพิ่มขึ้น---ร่างขนดก, หน้าดุร้าย,อาวุธเป็นประกาย—แต่ผมก็เดินเข้าไปหา,ตอนนี้ไม่มีทั้งความกลัวหรือความระมัดระวัง,สมองคิดแต่เรื่องด่วนที่ต้องไปทำ.
    นักรบสองเมืองมาถึงในระยะห่างกันหลายร้อยหลา,ผมโยนอาวุธชิ้นเดียวที่มี.มีดสั้นของยากาทิ้ง—
สบัดแขนกอร์ที่เอื้อมมาจะรั้งตัว,ก้าวต่อไป,คนเดียว,ไร้อาวุธ,ยกสองมือชูขึ้น ด้านฝ่ามือออกข้างหน้า
    กองทัพทั้งสองกองบัดนี้หยุดเคลื่อนที่,เตรียมพร้อมรบ,การกระทำแบบผิดปรกติยิ่งของผมทำให้พวกเมืองคอร์แปลกใจ. ชั่วขณะที่เดินเข้าไปผมคิดว่าจะโดนยิงแน่ๆแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งผมเข้าไปห่างนักรบแถวหน้า สองสามหลา,เหล่าหัวหน้าผู้ทรงพลังยืนข้างๆกษัตริย์ของพวกเขา--บรากิผู้ชรา,โคธสุทบอกผมว่า คนนี้,โหดร้ายใจดำมาก ทั้งทารุณ,อารมณ์ร้าย เกลียดใครแล้วเกลียดเหมือนคนบ้า.
    “หยุดตรงนั้น!"เขาตะโกน ยกดาบขึ้นสูง "ลูกไม้อะไร?แกเป็นใคร ถึงเข้ามามือเปล่าเข้ามาในระหว่างเขี้ยวของสงคราม?”
    “ข้าคือ เอสู มือเหล็ก แห่งเผ่าโคธ.” ผมตอบ.“ข้าต้องการเจรจากับพวกเจ้า"
    “คนบ้าอะไรวะ?” บรากิคำราม. “ทาน—ยิงหัวมัน"
    แต่คนชื่อ ทาน ผู้ที่ตั้งแต่ผมเข้ามาใกล้ ก็จ้องมองเขม็ง,กลับร้องตะโกน และโยนปืนลงพื้น
    “ไม่! ถ้าข้ายังไม่ตายใครก็ยิงไม่ได้" เขาร้องเดินกางแขนเข้ามาหาผม "ท้าก!,แกเอง! จำข้าได้ไหม?,ทาน มือเหวี่ยงดาบ,แกช่วยชีวิตข้าไว้ที่เนินเขาครั้งโน้น?”
    เขาแหงนคอ อวดรอยแผลเป็นเบ้อเร่อที่คอเหมือนหนอกวัว.
    “แกเองที่สู้เสือเขี้ยวดาบ! ข้าไม่นึกว่าแกจะรอดตายจากแผลขนาดนั้น"
    “พวกเราชาวเมืองคอร์ ฆ่ายากว่ะ"เขาหัวเราะดีอกดีใจ.ยกแขนกอดผมแน่นเหมือนหมี. “แกมาทำอะไรกับพวกหมาเผ่าโคธ?แกควรจะมาร่วมสู้กับพวกเรา"
    “ถ้าเชื่อตามที่ข้าจะบอกจะไม่มีการต่อสู้" ผมตอบ "ข้าต้องการเพียงได้โอกาสพูดกับหัวหน้าและนักรบพวกแก.ไม่ผิดกฏศึกอย่างไรใช่ไหม?”
    “ไม่ผิด!"ทาน มือเหวี่ยงดาบยอมรับ "บรากิ, แค่นี้เจ้าคงยอมได้ใช่ไหม?”
    บรากิ ได้แต่คำราม.แต่ไม่ปฏิเสธ
    “ ให้นักรบเผ่าเจ้า เดินมาตรงนี้" ผมชี้ตำแหน่ง "นักรบของโคธสุทจะเดินมาที่ด้านตรงข้าม.สองเผ่าต้องฟังเรื่องที่ข้าจะเล่า.สิ่งที่ข้าจะเสนอ, หากไม่เห็นด้วย ก็ถอยกลับไปห้าร้อยหลา.แล้วก็ทำสิ่งที่ยกทัพมาทำ..เหมือนเดิม.”
    “มึงมันคนบ้า!"บรากิผู้ชรา ตัวสั่นด้วยโทสะ"นี่มันกลศึก.กลับไปใต้ถุนที่มึงซุกหัวนอนอย่างเดิมซะ ไอ้หมา!"
    “ไม่ใช่กลศึก.ข้าเอาหัวเป็นประกัน.” ผมตอบ "ข้ามือเปล่า,จะยืนอยู่ในระยะดาบเจ้า.ไม่ถอยสักครึ่งก้าว.ถ้ามีการลวง .ฟันคอข้าได้ตรงนี้.ทันที"
    “แต่ทำไม?...”
    “ข้าถูกยากา จับไป ติดโซ่อยู่ในเมืองพวกมันตั้งนาน เพิ่งหนีออกมาได้" ผมร้อง "ข้ามาเพื่อ เล่าให้เหล่ากูรา ทุกเผ่าได้รับรู้ว่าในดินแดนแย๊กมีอะไรเกิดขึ้น!"
    “ยากาจับลูกสาวข้า!"---- “เมียกูที่ยังไม่ทันได้เข้าห้องหอด้วย!"--- “หลานสาวข้าอีก!" เสียงร้องตะโกนมาจากเหล่านักรบคอร์ ,พวกเขาเข้ามารุมล้อมผม. ลืมศัตรูเบื้องหน้าไปทันที.เขย่าตัวผมอยากฟังเรื่องหญิงอันเป็นที่รักของตน.
    “กลับเข้าแถว.พวกโง่" บรากิคำราม.ยกด้ามดาบฟาดเหล่านักรบ. “แตกแถวให้พวกโคธมันเข้ามาเชือดหรือ? ไม่เห็นหรือว่านี่มันกลลวง?"
    “ไม่ใช่กลลวง" ผมตะโกนค้าน "ขอเพียงสงบใจฟังข้าเท่านั้นข้าขอแค่นี้ ขอต่อสายตาของท้ากนี่แหละ"
    พวกเขาไม่ยอมฟังทัดทานของบรากิ,มีเสียงตะโกน.กระทืบเท้า .เป็นความเมตตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าที่เจ้าทางตรงทุ่งนี้เท่านั้น.ที่ยั้งไม่ให้ นักรบโคธที่กำลังเครียดยิงใส่กลุ่มศัตรูที่ล้อมตัวผม.และในที่สุด.ระเบียบชนิดไม่ค่อยมีระเบียบก็ค่อยๆเกิด.การเข้าประชุมที่มีเสียงตะโกนด่าปนเปก็เกิดมีจนได้--นักรบเผ่าคอร์ยืนเป็นครึ่งวงกลมซีกหนึ่ง.อีกซีกเป็นนักรบเผ่าโคธ. เข้ามาใกล้ขนาดนี้ เกือบทำให้ความแค้นระหว่างเผ่าระเบิดขึ้นอีก..สายตาจ้องกันแทบจะกินเลือดกินเนื้อ,มือขนดกกำด้ามปืนยาว ขยับก๊อกแก๊ก. ทั้งสองฝ่ายจ้องกันเหมือนหมาดุที่เกลียดหน้ากันมานานแสน สองฝูงจ้องกัน.ผมรีบพูด.เรื่องที่ต้องการจะระบายและแผนที่จะเสนอ...
    ผมไม่ใช่นักพูด,และยามเมื่ออยู่กลางกองทัพสองฝ่ายที่เกลียดกันสุดๆ.ใจก็แป้วด้วยความท้อแท้,นึกถึงสงครามและการฆ่าฟันระหว่างสองฝ่ายที่เกิดขึ้นเป็นพันๆครั้ง,คน-คนเดียวจะไปลบล้างความเชื่อ,อุปนิสัย,สิ่งควรและไม่ควรทำ.--ประเพณี.ของโลกทั้งโลก.ที่ค่อยๆเกิดค่อยๆสะสมตกทอดกันมาเป็นยุคๆ –พันปีหมื่นปี- ได้อย่างไร?-ความคิดพวกนี้ กดบีบใจลง ทำให้ผมเป็นใบ้ไปเลย..และแล้วไฟโทสะร้ายกาจที่ควบคุมยากที่สุด- สันดานเดิมของผมก็ค่อยๆลุกใหม้  เมื่อจำได้ถึงเรื่องหฤโหด,ทารุณ,แสนสยองทั้งหลายที่ได้พบมาในยักกา.ความโกรธผมบัดนี้ลุกโชนเป็นเพลิงกองมหีมาเปลวของมันยกผมขึ้นระดับสูงอย่างที่ไม่เคยนึกมาก่อน.
    ไม่ต้องไปเชิญนักพูดระดับชั้นยอดให้มาเล่าเรื่องที่ผมต้องเล่า. ผมเล่าออกไป ใช้ภาษาที่เรียบง่าย,หยาบกระด้างที่สุด,ผมเล่าความจริง.ไม่ใช่เล่าเรื่องปั้นแต่ง.และความจริงและความรู้สึกที่ผมเห็นมา -เห็นมาด้วยตาตัวเอง ได้ยินมาจากหูตัวเอง .ทำให้คำตะกุกตะกักไม่ลื่นปรูดปราดพลิกพริ้ว เหมือนจากลิ้นนักพูดชาญเวที ที่ออกมาจากปากผมนี่แหละ.สั่นอารมณ์ได้เหมือนพายุ,.กัดลงกลางใจผู้ฟังได้เหมือนน้ำกรด.
    ผมเล่าถึงนรกอันมีนามว่ายักกา,เล่าถึงสาวรุ่นเป็นสิบ,เป็นร้อยที่ค่อยๆสิ้นลมขาดใจภายใต้ความทารุณเหลือแสนของพวกปีศาจดำ----เล่าถึงหญฺิงที่ถูกเฆี่ยนโบยจนเนื้อยับไม่เหลือรูปร่างเป็นคน.ถูกรัดกางแขนขา.บนกงล้อ
ทรมาน ค่อยๆดึงจนอวัยวะพวกนี้ขาดจากกาย.หญิงสาวกูรา ร่างเปลือยขาวผ่องของพวกหล่อน,ค่อยๆแหลกไปบนเตียงทรมาน,เป็นวันๆ,ก่อนความตายจะมาปลดปล่อย,การถลกหนังทั้งเป็น, ผ่าท้องให้ใส้ไหลห้อยระริกสั่นทั้งยังมีลมหายใจ.--การทรมานแบบร่างกายไม่มีริ้วรอย,แต่จิตไม่มีเหลือ ถูกดูดหมด.ทิ้งไว้แค่ซากยังมีลมหายใจ,ตาไม่เห็น,พูดไม่ได้คิดไม่ได้ ได้แต่คลานร้องหมิวๆ, ผมเล่า........โอยพระเจ้า.ผมเล่าซ้ำไม่ได้แล้ว.ความทรงจำอันนี้ แค่นี้ก็ทำให้ผมเกือบเป็นบ้า.
    ก่อนที่ผมจะเล่าจบ.นักรบกูราทั้งสองเผ่า แหกปากร้องตะโกนก้อง,บ้างยกกำปั้นทุบอกตนเอง,ร้องไห้น้ำตาไหล พราก,ทั้งด้วยความเวทนา,สงสาร,และความโกรธแค้นสาหัส.
    ผมลงท้ายด้วยคำที่แทงเจ็บเหมือนหางแมงป่อง,“พวกนี้คือ ผู้หญิงเผ่าแก,เลือดเนื้อของพวกแกเอง,พวกที่นาทีนี้ก็ยังกรีดร้องร่ำไห้อยู่ในเครื่องทรมานบนยักกา!แกเรียกตัวเองว่า ลูกผู้ชายหรือ?--แค่เดินเบ่งกล้ามกางแขน,คุยโอ้อวดพลัง,ขณะที่ปีศาจมีปีกมันมองลงมาดูและก็เย้ยหยัน,ลูกผู้ชาย ถุ้ย!" เสียงหัวเราะผมตอนนี้ฟังเหมือนหมาป่าเห่า.ออกมาจากก้นบึ้งของความแค้นและความทรมาน."ลูกผู้ชาย! กลับบ้านไปเอาผ้านุ่งผู้หญิงมาใส่เหอะว่ะ!"
    มีเสียงตะโกนดังขรม. กำปั้นแน่นยกขึ้นชูสลอน . นัยน์ตาแดงกล่ำลุกเป็นไฟจ้องมองผม, เสียงตะโกนออกมาจากลำคอที่ตีบตันด้วยความแค้นสนั่นรอบข้าง; “ไม่จริง!,ไอ้หมา,ไม่จริง!,พวกกูคือลูกผู้ชาย.นำพวกกูไปเหยียบไอ้พวกปีศาจปีก.ไม่งั้นกูฉีกเนื้อมึงเดี๋ยวนี้!"
    “หากแกตามข้าไป" ผมร้องตอบ, “จะเหลือกลับมาไม่กี่คน, แกจะต้องผจญความลำบากสาหัส.รบอย่างที่ไม่เคยรบมาก่อน.พวกแกจะล้มตายเป็นฝูง, แต่ถ้าพวกแกได้เห็นอย่างที่ข้าเห็น,แกจะคิดอย่างข้าคือ—ตายดีกว่า,ไม่ช้ายากาจะล้างบ้าน,มันเริ่มเบื่อทาสชุดเก่า.และฆ่าทิ้งทั้งหมด,ยกฝูงบินออกหาทาสชุดใหม่,ข้าเล่าถึงความพินาศของทูกราให้ฟังแล้ว. ไม่นานคอร์ก็เจอแบบนี้,--โคธก็ไม่มีรอด-เมื่อฝูงปีศาจมีปีกโฉบลงมาในยามราตรี. ตามข้าไปล้างยักกา-ข้ารู้ทางและรู้วิธี..หากใครเป็นลูกผู้ชาย,ตามข้ามา"
    เรื่องเล่าและคำขอร้องเหล่านี้ มันเข้มข้นจนฟันผมขบปากตัวเองเลือดซิบ.หมดกำลังร่างเซ.กอร์ หมีมนุษย์พยุงผมไว้ด้วยแขนทรงพลังของเขา.
    โคธสุท ก้าวออกมาเหมือนผีร่างผอม,เสียงเหมือนภูติพรายของเขาก้องกลบเสียงอื่น.
    “ข้าจะตามเอสู มือเหล็กไปยักกา.หากพวกเมืองคอร์ยอมพักรบ, รอจนกว่าพวกเราจะกลับมา.ว่าไง,บรากิ?”
    “ไม่" บรากิตะโกนก้อง"จะไม่มีสันติระหว่างคอร์และโคธ.ผู้หญิงคนที่ไปถึงยักกาแล้วถือว่าสูญ,ใครจะไปรบกับปีศาจได้? พวกเราตั้งแถวกลับที่เดิม. ไม่มีคำจากมนุษย์หน้าไหนทำให้ข้าลืมความแค้นเก่าได้"
    บรากิยกดาบชูขึ้น,และแล้วทาน มือเหวี่ยงดาบ,น้ำตาแห่งความอาลัยและความแค้นยังไหลเป็นสาย,กระชากมีดออกจากซองที่เอว.ปักลงไปมิดคมที่หัวใจของกษัตริย์ของตน.หันหน้ามายังพรรคพวกที่ยืนตะลึง.ชูมีดเปื้อนเลือด. ตัวยังสั่นจากการสะอื้นจากความแค้นแทบบ้า.ทานร้องตะโกน;
    “ชายที่ละทิ้งหญิงของตน,ต้องตายแบบนี้ทุกคน,นักรบคอร์คนไหนจะตามข้าไปยักกาชักดาบออกมา"
ดาบห้าพันเล่มยกชูชึ้นเป็นประกายต้องแสงอาทิตย์ยามเย็น.เสียงตะโกนแหบห้าวก้องแทบสะเทือนฟ้า.ทานหันมาหาผม.ตาเป็นเหมือนก้อนถ่านด้วยความบ้าเลือด.
    “พาพวกข้าไปยักกา,เอสู มือเหล็ก,” มือเหวี่ยงดาบร้อง.” พากไปแดนแย๊ก.พาไปนรกก็ยังได้!พวกเราจะทำให้แม่น้ำย๊อกไหลเป็นเลือด.ทำให้พวกยากายามเอ่ยถึงพวกเรา ตัวสั่นงันงกไป พันคูณด้วยพันปี"
 เสียงชักดาบขึ้นกวัดแกว่งและเสียงมนุษย์ที่กำลังบ้าเลือด ก้องท้องทุ่งอีกครั้ง

        บทที่12
    พวกส่งข่าวถูกส่งให้วิ่งกลับไปทั้งสองเมือง,บอกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เราจะไปทำ. เราเริ่มออกเดินทัพไปทางตะวันตกเฉียงใต้.นักรบโคธสี่พัน.นักรบคอร์ห้าพัน. ทั้งสองทัพแยกห่างจากกัน.เพราะผมคิดว่าให้ห่างๆกันไว้ก่อนจะดีกว่า.กระทั่งเข้าถึงมองเห็นตัวยากาผู้ข่มเหง,มาใกล้กันเห็นหน้ากันแต่แรก ความแค้นเก่ามันจะเกิดอีก.
    กองทัพของพวกเราเคลื่อนที่ไปได้เร็วมากกว่านักรบจำนวนเท่ากันบนโลกเก่า.เราไม่ต้องพะวงถึงขบวนเสบียงทั้งหลายแหล่.หาอาหารไปตามพื้นที่ซึ่งผ่าน,แต่ละคนแบกอาวุธตัวเอง---ปืนยาว,ดาบ,มีด.กระติกน้ำ,และย่ามกระสุน,ผมร้อนรุ่มใจทุกๆไมล์ที่ก้าวผ่าน,ขี่หลังยากาบินไปมาสองหน,ทำให้ผมเคยตัวใจร้อน,คนเดินเท้าต้องเดินหลายวันจึงจะได้ระยะทางเท่าที่คนบินไม่กี่ชั่วโมง.แต่เราก็ยังก้าวเร่งต่อไป,สามอาทิตย์ผ่านไปตั้งแต่เวลาที่เราเริ่มเคลื่อนทัพนั่นแหละ,พวกเราถึงย่างเข้าในป่าทึบที่ริมแม่น้ำสีม่วง.ซึ่งข้ามฝั่งไปคือทะเลทราย เขตดินแดนนาม แย๊ก.
    ผมยังมองไม่เห็นยากาบนฟ้าสักคน.ตอนนี้พวกเราใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด,ให้กำลังส่วนใหญ่ซ่อนอยู่ในป่า.ยามค่ำ,ผมและนักรบสามสิบคน ออกจากป่า.คำนวณเวลาให้ไปถึงฝั่งแม่น้ำสีม่วง หลังเที่ยงคืนสักพัก,
กะให้จวนดวงจันทร์ตกลับลง,ผมต้องหาทางจะป้องกันไม่ให้ยามที่หอคอยบินไปส่งข่าวที่ยักกาให้ได้,กองทัพเราจะได้ข้ามทะเลทราย.โดยไม่ถูกโจมตีในที่โล่ง.พื้นที่ซึ่งยุทธวิธี ยิงลงมาจากฟ้าจะเล่นงานพวกเราสาหัส.
    โคธสุท แนะนำว่า เราควรดักรออยู่ที่ชายป่า,ดักยิงยามที่บินขึ้นจากหอคอย.แต่ผมรู้ว่าจะไม่เป็นผล.ที่ฝั่งน้ำด้านตรงข้ามหอคอย,เป็นที่โล่งหาที่ซุกตัวไม่มีเลย.แม่น้ำสีม่วงก็กว้างเกินไป ถึงยิงข้ามได้ความแม่นยำก็แทบไม่เหลือ.เราอาจยิงถูกยากาสองสามคน,แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่ยามทุกคนต้องถูกสอยลงมา.เหลือรอดไปได้เพียงคนเดียว แผนเราก็จบเห่.
    ดังนั้น เราเดินไปอาศัยหลบตามแนวป่าจนกระทั่งถึงตำแหน่งหนึ่ง ราวหนึ่งไมล์ทางเหนือน้ำ,นับจากตำแหน่งที่มีก้อนหินโผล่เรียงข้ามแม่น้ำ,จากตรงนี้ไป ผมจำได้ว่ากระแสกลางน้ำจะเบนไปฝั่งตรงข้าม,เราต่อแพด้วยซุงใหญ่ เลื่อนลงน้ำผูกด้วยเชือกเส้นเหนียวยาว.ผมปีนลงไปบนแพ,กับนักรบที่คัดว่ายิงแม่นที่สุด,แท็บ ตีนเร็ว,สเคล ตาเหยี่ยว.และนักแม่นปืนอีกสองคนจากคอร์,เราแต่ละคนสะพายปืนยาวสองกระบอก.
    เราจ้วงพายที่แกะหยาบๆ.ชั้นแรกเหมือนจะพายสู้แรงน้ำไม่ได้,แต่แพนี้มีน้ำหนักและความยาวมากพอที่จะไม่หมุนคว้างโดยง่าย,คนที่ฝั่งดึงเชือกล่ามท้ายแพไว้เป็นหลัก,ค่อยๆผ่อนเชือก-ดึงท้ายไว้ไม่ให้วิ่งไปแข่งกับทางหัวเมื่อลอยไปเข้าน้ำวนแต่ละวังวน.แพเคลื่อนไปกลางน้ำ,แกว่งไปเป็นวงกว้าง.เหมือนในที่สุดก็จะถูกพัดกลับมาฝั่งเดิม.แต่เราจ้วงพายด้วยกำลังที่ต่างคนต่างเลียนแบบเทพจอมพลัง,พากันไปถึงกระแสเชี่ยวกลางน้ำได้ก่อน.ผมทำสัญญาณให้ปล่อยเชือก.น้ำก็พัดพวกเราลอยลิ่วด้วยความเร็วชวนตาลาย.เบนข้ามแม่น้ำ,ลิ่วเข้าหากลุ่มหินที่โผล่ขวางแม่น้ำ.แพทั้งเอียงทั้งโคลง มุดเป็นเรือดำน้ำไปหลายรอบ.พวกเราแต่ละคนเปียกโชกแต่อาวุธพวกเราอยู่ในถุงกันน้ำ และเรามัดตัวเองไว้แน่นกับท่อนซุง;เช่นนี้เองเหมือนหนูจมน้ำเกาะเศษไม้.พวกเราเกาะแพไม่หลุดหล่น.จนกระทั่งน้ำพัดไปกระแทกหินริมน้ำฝั่งตรงข้าม.
    แพติดอยู่ที่่ก้อนหิน แต่จะอยู่ได้นานแค่ไหน?พวกเรารีบตัดเชือกที่ผูกตัวติดแพ.โดดลงน้ำใกล้ฝั่งนี้ น้ำลึกแค่อก แต่ไหลแรงมหาศาล,พวกเราใช้ทั้งทั้งนิ้วมือ นิ้วตีนกระทั่งฟันเกาะหินดึงกายไปทีละก้าว,ทีละก้าว.ต้านแรงน้ำไม่ให้แกะเราหลุดลอยตามแพท่อนซุงไป.
    เราทำสำเร็จ ข้ามฝั่งจนได้.เหนื่อยแทบขาดใจ.โดนสายน้ำพัดฟาดโขดหินตัวแทบแหลก.แต่เราเสียเวลาหยุดพักไม่ได้,เพราะส่วนที่ยุ่งยากที่สุดในแผนของผมอยู่ตรงนี้...เราจะต้องซ่อนตัวรอจนฟ้าสว่าง.สว่างพอที่จะมองศูนย์ปืนถนัด, เกิดยามผลัดดึกมาเห็นเราและบินไปส่งข่าวตอนนี้ก็จบกัน..เล็งเป้าด้วยแสงดาวมือแม่นแค่ไหนก็พลาด. แต่ผมเชื่อว่ายากาบนหอยามจะต้องมองระวังแต่ทางด้านแม่น้ำ.ไม่สนใจระวังทะเลทรายด้านหลังมากนัก.
    ดังนี้เอง ในความมืดมิดหลังดวงจันทร์ตกลับไปแล้วก่อนรุ่งสว่าง,พวกเราอ้อมวิ่งไปที่หอคอย.ย่องกริบเข้าทางด้านทะเลทราย.นอนหมอบซุกอยู่ในหลุมตื้นๆที่ขุดขึ้นห่างจากหอคอยยามไม่ถึงสี่ร้อยหลา.
    การรอแสงอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันนั้นเครียดเคร่งนัก.เมื่ออาทิตย์พ้นขอบฟ้า ทุกสิ่งก็ค่อยๆกระจ่างขึ้น,เสียงก้องของสายน้ำดังมาถึงสนั่น.และในที่สุดพวกเราก็ได้ยินเสียงอื่น.เสียงเหล็กกระทบเหล็ก,ดังข้ามแม่น้ำมา,กอร์และนักรบคนอื่น,ทำตามแผนผม,เข้าแถวเดินโชว์ตัวออกจากป่ามาที่ฝั่งน้ำ,มีการเคลื่อนไหวน้อยนิดซ่อนเร้นบนยอดหอคอย.แต่ทันใด ยามยากาคนหนึ่งก็โผนสู่ฟากฟ้าบินมุ่งหน้าอย่างรีบเร่งไปทางใต้. ปืนยาวในมือสเคลคำราม,มนุษย์ปีกคนนั้นถลาไปทางข้าง,ร่วงผลอยลงมาส่งเสียงร้องก้อง.
    ข้างบนเงียบไปสักพัก,แล้วยากาห้าคนก็พรวดพราดบินขึ้นสูง,พร้อมๆกัน.พวกเขาต้องเดาถูกว่าเราจะทำอะไร.และเสี่ยงบินขึ้นพร้อมๆกัน หวังว่าสักคนคงจะรอดออกไปเตือนภัยถึงยักกา.เราทุกคนเล็งและยิง,ผมยิงไม่ถูก,ซวยแต่เริ่มเชียวหรือแผนผม?นักรบคอร์กวาดปืนตามคนที่ผมยิงพลาด,และเหนี่ยวไก,ยากาคนนั้นม้วนลงดิน. นักรบคอร์อีกคนเปิดเผย(ภายหลัง)ว่าถ้ายิงไม่ถูกจะตัดนิ้วทิ้ง.เขายิงไม่พลาด.แท๊บยิงถูกเหมือนกันแต่ไม่ถูกที่สำคัญพอปลิดชีวิต ยากาแค่บาดเจ็บสาหัสบินช้าลงแต่ยังไปต่อได้,แท๊บพึมพำด่าบรรพบุรุษทุกลำดับของพวกยากา,รีบคว้าปืนกระบอกที่สอง .เล็งตามมนุษย์มีปีกที่บินถลาไปถลามา-คราวนี้ไม่พลาด.ตัวสุดท้ายเหมือนจะหนีพ้น,ไปได้ใกลลิบ,.ผมเล็งอย่างปราณีตเงยปากกระบอกคำนวณวิถีโค้ง.เหนี่ยวไกนิ่มๆเสียงเปรี้ยงดัง.ยากาบินเฉย..ลูกปืนไล่กวด.โค้งลง,ตามแรงโน้มถ่วงของอัลมูริก—คงจะไล่ทันและพบกัน-ผมไม่เห็น,เห็นแต่ยากาชะงักกลางอากาศร่วงผลอย.เรารีบบรรจุกระสุนและรอท่า.แต่ไม่มียากาออกมาจากหอคอยอีก.แจสมีนาบอกว่า นักรบหกคนเฝ้าหอคอย.หล่อนไม่โกหก.
    เราหามศพยากาโยนลงแม่น้ำ.ผมข้ามแม่น้ำกลับฝั่งเดิม,โดดจากก้อนหินก้อนหนึ่งไปอีกก้อน.บอกให้กอร์พานักรบกลับเข้าป่า.ให้ไปตามกำลังที่เหลือมาซุ่มพักที่ชายป่าริมน้ำ,ผมไม่ตั้งใจที่จะเริ่มข้ามทะเลทรายจนกว่าจะมืด.
    แล้วผมก็กลับไปที่หอคอยหาทางเข้าข้างใน,แต่หาไม่พบ,มีหน้าต่างเล็กๆกั้นลูกกรงอยู่สูงลิบ.ยากาบินมาที่หอทางอากาศ,ไม่ต้องมีบันได. หอคอยนี้ก็ผิวเรียบลื่นเกินจะปีนไต่ขึ้นได้, ทางเดียวที่พอทำได้,คือขุดหลุมในทรายขึ้นรอบๆหอคอยหลายหลุม,หากิ่งไม้ใบไม้มาปิด,โรยทรายทับพรางตา,จัดนักรบแม่นปืนหลายคนซ่อนตัวอยู่ในหลุมพวกนี้,
 พวกเรารออยู่ในหลุมอย่างอดทน,ตามองบนฟ้าไปตลอดเวลา,ตลอดวันมียากาบินผ่านมาคนเดียว.กองทัพของกูรา ซ่อนอยู่ในป่าไม่ออกมาให้เห็น,เขาก็ไม่สงสัยอะไร,กระทั่งบินถึงเหนือหอคอย.ไม่เห็นยามสักคน.เขาเอะใจ.แต่ก่อนที่จะบินหนีไปทัน.เสียงปืนเป็นสิบกระบอกลั่นขึ้น.ยากาคนนี้ตัวกระจุยหล่นพลั่กลงดิน.
    เมื่อดวงอาทิตย์ตกความมืดเยือนแผ่นดิน.เรานำนักรบข้ามสะพานโขดหิน,โดดลัดเลาะไป.มันต้องใช้ความระมัดระวังและเสียเวลาไม่น้อย.แต่ในที่สุด กองทัพกูราก็ข้ามฝั่งแม่น้ำย๊อค,สายสีม่วง,มาเหยียบฝั่งด้านยากาจนได้,รีบเติมน้ำในกระติกเให้ต็มเปี่ยม.เราก็เคลื่อนทัพวิ่งเหยะๆเงียบกริบ,ข้ามทะเลทรายแคบๆ.ก่อนอาทิตย์ขึ้นเป็นนาน.เราก็มาถึงสายน้ำเลาะหินยุทธลา.
    อาศัยความมืดเคลื่อนทัพเข้ามา,ผมไม่แปลกใจเลยที่ เราเล็ดรอดเข้ามาถึงคูล้อมเมืองได้โดยศัตรูไม่รู้ตัว. ถูกละ,หากจะมียากาสักคนยังไม่หลับนอน.มองมาทางทะเลทรายใช้ความสังเกตสักหน่อย.เขาคงจะเห็นแถบดำๆ เลื่อนผ่านสีขาวของทะเลทรายใต้แสงดาว,แต่ผมรู้ว่า บนยักกาไม่มียามเช่นนี้.พวกยากาไว้ใจในการป้องกันของแม่น้ำสีม่วง.วางใจในยามที่หอคอย;และความจริงที่ว่า,เป็นร้อยปีพันปี ไม่มีนักรบกูราหน้าไหน กล้ายกทัพเข้ามาแหลกละเอียดเช่นครั้งที่แล้ว. ป่านนี้ยากาแต่ละคนนอนหลับสบาย.เมาปลิ้น.หรือไม่ก็หมดแรงจากการทรมานข่มขืนพวกทาสสาว.ส่วนพวกอักกาด้านล่าง.หลังจากทำงานไร่สวนหรืองานทาสอื่นๆ ก็คงหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน,เกินกว่าจะมา  ระแวดระวังการบุกจากศัตรูซึ่งบัดนี้มาถึงหน้าประตูบ้าน,แม้ผมรู้ว่าหากมีภัยมาจ่อถึงคอหอย พวกนี้สู้ได้เหมือนสัตว์ร้าย.
    ดังนี้.เข้ามาห่างแม่น้ำล้อมหินเพียงสามร้อยหลา.เราหยุด.นักรบแปดพันคนใต้การนำของโคธสุท แยกไปซ่อนตัวตามร่องส่งน้ำรดผักผลไม้,ที่อักกา ขุดเป็นแถวเป็นแนวตามแปลงเกษตร.ใบใหญ่เหลี่ยมของพืชผลสะบัดพริ้วในสายลมเอื่อยๆ.ช่วยกำบังตาได้อย่างดี.ทุกสิ่งเราทำกันได้เงียบกริบ. เบื้องหน้า.สูงตระหง่านขึ้นไป.คือหินสีดำนามยุทธลา.สายลมเช้าโชยมา.บอกถึงการมาของอรุณรุ่งอีกวัน.ผมนำนักรบหนึ่งพันคนที่เหลือวิ่งตรงมาที่ฝั่งน้ำล้อมเมือง.ผมคลานในความมืดเข้าไป,จนถึงริมน้ำ,ในใจก็ยินดีนักที่ได้นำนักรบพวกนี้.คนที่เจริญแล้ว,เคยคุ้นกับความสบาย.ให้แอบเข้ามาเป็นพันๆแบบนี้.จะต้องมีการสะดุด,ก้าวพลาด.กันบ้าง,พวกกูราเข้ามาได้เงียบกริบเหมือนเสือดาวตอนแอบเข้าฆ่าเหยื่อที่ยังไม่รู้ตัว.
     ฝั่งตรงข้ามเป็นกำแพงหินก่อชันดิ่งขึ้นไป.ป้องกันเมืองพวกอักกา.หากจะพยายามปีนขึ้นไป.สวนทางกับคมหอกของอักกาเป็นพันๆ.กี่คนจะข้ามไปได้?.เมื่อฟ้าสว่าง.สะพานชักที่เห็นทมึนมืดงับปิดอยู่บัดนี้.ก็จะถูกกว้านลงทอดข้ามน้ำให้พวกทาสออกไปทำงานไร่สวน.แต่ถึงบัดนั้นแสงกระจ่างก็เผยให้เห็นกองทัพเราแล้ว.
    กระซิบกับกอร์ ผู้ตามมาหมอบข้างๆ,ผมหย่อนตัวลงน้ำ.ว่ายข้ามไป.กอร์ตามติด.เราทั้งคู่มาถึงตรงสะพานชัก..พยายามคลำหาช่องรอยแตก-อะไรสักอย่างที่พอให้เราเกาะปีนขึ้นไปได้.น้ำตรงนี้ ลึกยืนไม่ถึงพอๆกับตรงกลาง. ในที่สุด กอร์ก็พบช่องในหินก่อกำแพงริมฝั่งนี้.ช่องกว้างพอที่จะให้เขาสอดนิ้วเกาะยึด.กอร์เกาะช่องหิน เกร็งตัว รับน้ำหนักผมขณะผมปีนไปตามตัวเขา.เหยียบบ่ากอร์,พอจะเอื้อมมือถึงฐานล่างของสะพานชัก.ผมดึงตัวขึ้น.บานประตูหรือก็คือพื้นสะพานตอนกว้านลง,บังตัวผมไว้ ผมเลื่อนตัวมาด้านข้างจะก้าวข้ามกำแพงริมสะพาน.ข้ามมาได้ขาเดียว.ร่างหนึ่งก็โดดเข้าใส่จากมุมมืด.ส่งเสียงตะโกนเตือนภัย. ยามอักกาคนนี้ไม่หลับยามเหมือนที่ผมคิดไว้.
    เขาพุ่งเข้าใส่ผม,ประกายหอกแวบในแสงดาว.ผมเอี้ยวตัวหลบแบบสิ้นหวัง,หอกพลาดไปนิด,ตัวผมเองเกือบจะหงายหลังกลับลงน้ำ,มือหอกจ้วงแทงเต็มแรงจนเสียหลัก.หัวทิ่มเข้ามา,ผมคว้าเส้นผมเขาเป็นหลักเลี้ยงตัวไว้.และแทนบุญคุณด้วยกำปั้นลงไปที่กกหู.ยามอักกาทรุดฮวบ.วินาทีต่อมาผมก็ก้าวข้ามกำแพง.
    กอร์ตะโกนถามอยู่ในน้ำด้วยความเป็นห่วง,ในความมืดมิดก่อนรุ่งสว่าง ชาวอักกาแห่ออกมาจากบ้านเหลี่ยมแคบๆเหมือนฝูงต่อออกจากรังหิน.ผมชะโงกออกไปส่งด้ามหอกของยามลงไปให้กอร์,เขาปีนตะกายขึ้นมาเคียงข้างผมในทันที.พวกอักกามองอย่างงุนงงชั่วครู่.แล้วก็นึกได้ว่านี่คือศัตรูเ!แอบเข้ามาถึงหน้าบ้านได้!.
    กอร์ก้าวออกไปรับมือหนึ่งต่อนับร้อย.ผมวิ่งไปที่กว้านดึงสะพาน,หูได้ยินเสียงเพลงสงครามของ หมีมนุษย์ สนั่นเหมือนเสียงฟ้า.กลบเสียงอื้ออึงของพวกอักกา, เสียงเหล็กประทะเหล็ก,เสียงคมดาบเฉือนหั่นกระดูก..แต่ไม่มีเวลาหันไปมอง.ผมต้องหมุนกว้านลดสะพานข้ามคูลง,ด้วยตนเอง.ไม่ง่ายแน่,ที่เห็นมากว้านอันใหญ่นี้ต้องใช้อักกาห้าคน.ช่วยกันถึงจะหมุนได้;แต่ในยามฉุกเฉินเครียดเคร่งนี้ ผมต้องหมุนมันด้วยกำลังผมคนเดียว.เหงื่อท่วมหน้า.กล้ามเนื้อสั่นเทาไปทั้งตัว.แต่แผ่นไม้สะพานหนักแสนก็หมุนลงจนได้ในที่สุด.ปลายอีกด้านทอดลงยังฝั่งน้ำตรงข้าม.นักรบกูราที่รออยู่วิ่งกรูข้ามฝั่งมา.
    ผมหันไปช่วยกอร์,ผู้ตอนนี้เสียงหายใจหอบแฮ่กๆ,ได้ยินถนัด.ผมรู้ว่าเสียงการสู้รบด้านล่างจะต้องได้ยินไปถึงยากา,และจำเป็นยิ่งที่เราจะต้องเข้ายึดอักกาให้ได้ บางส่วนก็ยังดี, ก่อนที่ศรแหลมของมนุษย์ปีกจะโปรยลงมาเสียบจากด้านบน.
    ตอนนี้ทั้งตัวผมมีอาวุธแค่มีดสั้นของโกทรา,แต่ก็โจนเข้าวงห้ำหั่นหนึ่งต่อร้อยของกอร์ แย่งดาบจากมือของอักกาคนหนึ่งที่ถูกคมมีดผมปักหัวใจ.ดาบนี้ใช้เหล็กไม่ดีนัก.แต่มันก็มีคมและมีน้ำหนักใช้ได้อยู่.ใช้ดาบเหมือนกระบอง ก่อหายนะให้คนผิวน้ำเงินทั้งด้านซ้ายและขวา.กอร์ หมีมนุษย์ต้อนรับการเข้าร่วมวงของผมด้วยเสียงตะโกนพึงใจปนเสียงหอบ.และเพิ่มแรงฟาดฟันเป็นสองเท่า.อักกาคาดไม่ถึงถอยไปชั่วขณะ.
    ชั่วขณะที่ว่ามันเป็นเวลาไม่กี่วินาที.แต่ก็นานพอที่จะให้เวลานักรบกูรา ห้าสิบคนข้ามมาสมทบ.แต่ถึงกระนั้นการต่อสู้ก็ยังมีผลแค่"ยันกัน" ไม่มีฝ่ายใดถอยและก็ไม่มีฝ่ายใดรุก.คนผิวน้ำเงินออกมาเป็นฝูง,ฝูงแล้วฝูงเล่า จากกระท่อมหิน.โถมใส่พวกเราอย่างไม่กลัวตาย.กูราหนึ่งคน สู้อักกาได้สี่.แต่จำนวนพวกเขาท่วมท้นเรา.คนผิวน้ำเงินดันเราติดอยู่ที่คอสะพาน.เราไม่อาจเดินหน้าเพื่อให้ที่ว่างแก่นักรบแถวหลังที่ติดอยู่บนสะพานและฝั่งตรงข้าม,พวกนี้ได้แต่ร้องตะโกนผลักดันจะให้เข้าใกล้ศัตรูในระยะดาบ.พวกอักกายุ่บยั่บล้อมเราไว้เป็นรูปครึ่งวงกลม.ผลักดันเราถอยหลังแทบจะถูกเบียดแบนบี้.มือก็แก่วงดาบ.ไม่มีธนูหรือปืน,ยากาไม่ยอมให้อักกามีอาวุธยิงไกลไว้ใช้.พวกปีศาจปีกกลัวอาวุธพวกนี้จะย้อนกลับมาหาตัว.
    แสงสว่างของรุ่งอรุณวันนั้นปรากฏออกจากหมอก,ทั้งสองฝ่ายซึ่งเมื่อครู่มองเห็นกันแค่เงาตะคุ่มมืดดำ,ก็เห็นกันถนัด.ผมรู้ว่า ยากาจะเริ่มเคลื่อนไหว.หูแว่วได้ยินเสียงกระพือปีกดังขึ้นเหนือเสียงสู้รบ.แต่ผมไม่กล้าแม้จะเงยหน้ามอง.อักกากลุ้มรุมพวกเราแน่น.ประมาณผู้คนเบียดแย่งซื้อสินค้าลดราคาแบบทิ้งน้ำบนโลกเก่า.คือ;อกอัดอก,ชิดแน่นจนไม่มีที่ว่างพอจะเงื้อดาบฟัน.เหลือเชื่อ?แต่จริง.การต่อสู้ตอนนี้คือสองฝ่ายได้แต่เอาเล็บตะกุยหน้ากัน.เอาเขี้ยวขบกัด.กลิ่นกายอันเหม็นแสนของอักกาคลุ้งในจมูก.มือต่างฝ่ายพยายามดันหาที่ว่าง.แค่ที่ว่างพอจะเงื้อดาบฟัน.ยังหาไม่ได้.
    เนื้อผมสั่น,รอลูกธนูที่ผมคาดว่า เดี๋ยวมันต้องลงมาเสียบอกแน่.และมันก็มาจริงๆ. ห่าศรห่าแรกลงมาแล้วเหมือนเม็ดฝนต้นฤดู, นักรบกูราทั้งด้านข้าง,ด้านหลังส่งเสียงร้อง,มือจับโคนศร.ปลายศรทะลุอก. แต่ทันๆกัน กูราที่ติดอยู่บนสะพาน.และที่ยังข้ามมาไม่ได้ที่ฝั่่งตรงข้าม, พวกที่จนบัดนี้ยังไม่กล้ายิงเพราะกลัวถูกพวกเดียวกัน.ก็เห็นเป้าจากแดดยามอรุณ.พวกนี้เปิดฉากระดมยิงไปที่อักกา,กำแพงริมฝั่งไม่สูงพอจะบังคนข้างบน.เพราะออกแบบให้ยืนแทงจากด้านบนได้.ระยะแค่ข้ามแม่น้ำแคบๆ.ปานว่าเผาขน.ผลออกมา พูดได้ว่า "บัลลัย”.กระสุนเป็นร้อยนัดข้ามหัวพวกเราไป.ทะลุทะลวงอักกาที่อัดยันเราอยู่.ล้มเกลื่อน.บัดนี้ช่องว่างเปิดให้แล้ว..พวกเราโดดข้ามศพที่เกลื่อนเหมือนใบไม้ร่วง, รีบวิ่งเข้าถนนแคบๆของเมืองอักกา.
    การต้านทานด้านล่างยังไม่จบ,คนผิวน้ำเงินตัวเตี้ยล่ำยังสู้,ขึ้นลงซ้ายขวาไปตามถนน,เสียงดาบประทะดาบ,ปืนคำราม, เสียงร้องจากความเจ็บและความโกรธ.ระงม.แต่ภัยร้ายกาจที่สุดของเรา อยู่บนอากาศ!.
    มนุษย์ปีกบินออกมาเป็นฝูงจากยอดปราสาท เหมือนแตนต่อกรูออกมาจากรัง.จำนวนหลายร้อยบินลงมาในอักกาดาบคมกำแน่น.ขณะที่คนอื่น.ออกมายืนตั้งแถวริมหินยุทธลา.โปรยปรายศร.ทันๆกัน,นักรบของโคธสุท,ซึ่งหมอบอยู่ที่คูน้ำ.ซ่อนตัวด้วยคันคูและพืชผักในไร่,ก็เริ่มระดมยิง,แค่เสียงสนั่นของการยิงครั้งแรกสิ้นลง.ยากาทั้งบนฟ้า และที่ริมผา ก็ร่วงผลอยลงมาเหมือนเม็ดฝนสีดำ ลงมาบนหลังคาบ้านหินแคบๆ.พวกที่เหลือหันกลับหาที่กำบัง.รีบด่วนเท่าที่กำลังปีกจะพาไปได้.
    แต่พวกนี้ยามรับศึกที่มาถึงบ้าน,รบได้ดุเดือดกว่ายามออกไปทำศึกนอกบ้าน,จากทุกๆ.ลานราบ,สวนหย่อม,หลังคา.หอคอย.บนนครยักกาเบื้องบน,ความตายในรูปลูกธนูพรมลงมา,ปลิดชีพไม่เลือกทั้งศัตรูและทาส.กูราและอักการีบวิ่งหลบเข้าไปสู้กันต่อในอาคาร.ใต้หลังคาหินต่ำๆ.กระทั่งช่องระบายน้ำศิลาของเมืองอักการะบายเลือด. กูราสี่พันคนปะทะอักกาจำนวนมากกว่าสี่เท่า.แต่พลัง,ขนาดรูปกาย.ความดุดัน.และอาวุธที่สร้างจากโลหะคงทนกว่า.รักษาคมไว้ได้นานกว่า.ถ่วงความเสียเปรียบเรื่องจำนวน.
    กูราและอักกาต่างหลบจากที่โล่งเข้าไปฟัดกันต่อในอาคาร.ยากาข้างบน และกูราใต้การนำของโคธสุทที่ฝั่งตรงข้ามก็แลกลูกปืนและลูกธนูกัน.ด้านโคธสุทไม่ได้เปรียบนัก.ยากายิงมาจากที่ซ่อน.ลูกศรไปได้ใกลกว่าปืนยัดลูกทางปากกระบอก กระสุนก็กลมๆ,กระบอกก็ไม่มีเกลียวไว้หมุนลูกเจาะอากาศ,แถมธนูยิงมาเป็นวิถีโค้ง.นักรบกูราคงจะวอดวายไม่น้อย.ดีแต่ที่ได้คูน้ำและต้นไม้แปลงเกษตรเป็นที่กำบัง..พวกนี้มาสบทบพวกเราที่เมืองอักกาไม่ได้. ลุกขึ้นจากคันคูพยายามวิ่งข้ามสะพาน.กลางห่าศร.ตายแน่ๆ.
    ผมรีบวิ่งตรงไปที่วิหารของแจสมีนา.หั่นแหวกผู้ที่ขวางทาง,ผมโยนดาบคุณภาพต่ำของอักกาทิ้ง เปลี่ยนเป็นดาบโลหะชั้นดี.จากข้างศพนักรบกูราที่ถูกฆ่าคนหนึ่ง.มีเจ้านี่อยู่ในมือผมถางทางผ่านกลุ่มนักรบหอก ที่พยายามปกป้องสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้.กอร์ มนุษย์หมี,แท๊บตีนเร็ว,ทาน มือเหวี่ยงดาบและนักรบฝีมือดีอีกกว่าร้อยตามติด,เมื่อสังหารนักรบหอกคนสุดท้าย.ผมวิ่งขึ้นบันไดหินดำไปที่ประตูวิหาร,พระประจำวิหารในจีวรสุดเฟื่องรูปหนึ่ง ขวางทางผมไว้ด้วยหอกและโลห์ทำด้วยทองคำ.ผมปัดหอกที่แทงมา,แกล้งทิ่มดาบใส่เขาตรงโคนขา.เมื่อเขาเลื่อนโลห์ลงจะปิดด้านล่าง,ผมก็ฟันคอ.หัวพระสาวกแจสมีนากลิ้งขลุกๆลงบันได.ผมเก็บโลห์ทองคำติดมือมาด้วย.
    ผมวิ่งข้ามวิหาร.กระชากฉากทองคำล้มโครมลง.พลพรรคตามติด.เหนื่อยหอบ.แต่ละคนเปื้อนเลือด,ใบหน้าแต่ละคนยามแสงสะท้อนสีประหลาดจากอัญมณีที่แท่นบูชาสะท้อนต้อง,ดูดุร้ายน่าหวาดนัก.ผมคลำหากลอนเปิดช่องทางลับ.เมื่อหาพบก็เลื่อนกลอนและดึงประตู..เปิดไม่ออก! ผมเพิ่มแรงดึง,บานประตูยอมเปิด แต่ออกมาช้าๆ,เหมือนมีบางสิ่งขัดอยู่ข้างใน.บานปล่องลับนี้ครั้งที่แล้วผมจำได้ว่ามันหมุนออกมาง่ายๆ.แสดงความสมดุลย์ของระบบที่ช่างยากาแต่เก่าก่อนจัดทำอย่างสุดยอด.มันเคยเปิดง่าย..ตอนนี้ไหงเปิดยาก?ผมฉุกใจแว๊บ,และตะโกนลั่น "ถอย" ตัวเองก็โดดถอยหลังเมื่อบานประตูหมุนออกฉับพลัน.
    มีแสงจ้าแทบตาบอด.เสียงฟุ่บสนั่นหูแทบหนวก,เกิดเปลวไฟเหมือนไฟนรกพุ่งออกมาจากช่องประตูลับ เฉียดตัวผมไปนิดเดียวเผาเส้นผมบนหัวใหม้,ที่ผมโดดถอยหลังทันทีบานประตูที่เหวี่ยงเปิดออก,เป็นกำบัง.ช่วยชีวิตผมจากไฟเหลวที่ทะลักออกมาท่วมพื้นวิหาร.
    มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด.การเคลื่อนไหวสับสน.ผมได้ยินเสียงกอร์ร้องเรียกผมดังสนั่น ต้วเขายืนโซเซกลางกลุ่มควัน.หนวดและขนตามตัวใหม้เกรียม. เห็นพรรคพวกสนิทที่เหลืออยู่,--กอร์,แท๊บและอีกสองสามคนที่ความเร็วหรือโชคช่วยให้รอดอยู่,ทาน มือเหวี่ยงดาบ ยืนอยู่ข้างหลังผม เมื่อผมโดดถอย.เขาก็ถูกผมกระแทกพ้นทางไฟไปด้วย.แต่บนพื้นวิหารที่ใหม้ดำ,มีร่างมนุษย์ใหม้เกรียมเกือบเป็นถ่านจำไม่ได้ว่าเคยเป็นร่างคน.สามสี่สิบร่าง.พวกนี้อยู่บนทางพ่นของเปลวไฟพอดีเมื่อเปลวไฟผ่าน-ออกไปสลายตัวในอากาศต้านนอก.
    ช่องทางดูจะว่างเปล่าแล้วตอนนี้.ผมโง่เอง.แสนโง่ที่คิดว่า แจสมีนาจะปล่อยทางลับไว้ไม่วางกับดัก.หล่อนจะต้องสงสัยอย่างมากว่า ผมต้องหนีออกไปทางนี้.ตามกรอบประตูผมพบร่องรอยสิ่งที่คล้ายขี้ผึ้ง,นี่ต้องเป็นสารเคมีบางชนิด.ที่แจสมีนาสั่งให้เอามาอัดไว้ที่ด้านใน.สารนี้คงมีคุณสมบัติลุกเป็นไฟร้อนแรงได้ เมื่อสัมผัสอากาศภายนอก.
    ผมรู้ว่าประตูด้านบนต้องถูกปิดแน่น.ผมร้องบอกแท็บไปหาคบไฟมาจุด.สั่งให้กอร์ไปหาซุงหนักๆมากระทุ้งประตู.สั่งให้ทานไปรวบรวมนักรบเท่าที่หามาได้และตามผมขึ้นไป,ตัวเองวิ่งปรูดขึ้นตามขั้นบันไดหิน.จริงอย่างที่ผมคิด,บานประตูด้านบนปิดแน่นสนิท.คงจะใส่กลอนเสริมด้วยท่อนเหล็ก.ผมแนบหูฟัง.ข้างบนมีเสียงโต้เถียงสับสนห้องข้างบนจะต้องเต็มไปด้วยพวกยากา.
    มีแสงไฟพลุบโผล่ๆมาจากข้างล่าง,แท๊บหาคบไฟมาได้ขึ้นมาถึงผม,ตามด้วยกอร์และนักรบกูราเป็นโหล.หายใจแรงแบกน้ำหนักท่อนเสาใหญ่เหมือนซุง,ตัดมาจากกระท่อมอักกา.แท็บบอกว่า ยังมีการสู้รบประปรายที่ถนนและในอาคาร.แต่ผู้ชายอักกาถูกฆ่าเกือบทั้งเผ่า,ที่เหลือน้อยนิดรวมทั้งผู้หญิงและเด็กโดดหนีลงน้ำว่ายข้ามฝั่ง,เขาบอกว่า ตอนนี้มีนักรบกูราห้าร้อยคนอยู่ที่วิหารด้านล่าง.
    “มาช่วยกันทะลวงประตูบนเหนือหัวเรานี่" ผมร้องบอก,”แล้วตามข้าขึ้นไป.เราต้องขึ้นข้างบนให้ได้ก่อนที่ ธนูของยากาจะผลาญนักรบด้านโคธสุทหมด"
    เอาซุงกระทุ้งประตูที่อยู่บนเพดานจากช่องแคบๆไม่ง่ายเลย.ขั้นบันไดก็แคบยืนได้แค่คนเดียว.อุ้มท่อนเสาซุงแน่นนักรบเป็นสิบช่วยกันกระทุ้ง,เราเหวี่ยงซุงกระแทกประตู,เสียงซุงกระแทกหินดังก้องในช่องทางหูแทบดับ.แรงสะท้อนทำให้มือแขนพวกเราชา.หัวท่อนซุงฉีกเยิน.แต่ประตูข้างบนยังทนได้.หนึ่ง!สอง! สาม! เปรี้ยง! พวกเราแต่ละคนหอบแฮ่ก.ข้อแขนข้อขาลั่นกรอบๆ.เราเหวี่ยงซุงกระแทกต่อไม่หยุด---และในที่สุดจากการเหวี่ยงจากขาทรงพลังที่เกร็งยันพื้น,จากไหล่เหล็กของเราทุกคน,ส่งท่อนซุงไปถึงเปรี้ยงสุดท้าย....บานประตูแตกกระจายขึ้นไปเหมือนโดนระเบิด.แสงสว่างส่องลงมากระจ่างในปล่อง.
    แหกปากร้องด้วยภาษาใครก็แปลไม่ออก.ผมเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายโผล่หัวขึ้นไป.ยกโลห์ทองคำบังเหมือนกางร่ม.ป้องกันสายฝน.และสายฝนก็กระหน่ำลง,ฝนคมดาบเป็นสิบๆเล่ม,แรงกระแทกทำเอาผมเซ.แต่ไม่ยอมล้ม,โจนพรวดขึ้นไปบนห้องส่วนตัวของแจสมีนาจนได้..เหวี่ยงโลห์ที่บุบบู้บี้ ใส่หน้ายากา.,สองมือจับดาบฟาดฟันเป็นวง.ดาบที่ส่งประกายแวบขณะตัดอก,เอว.หั่นหัวกระจายว่อน,ยาการ้องก้องด้วยแสนแค้น. รุมเข้ามายุ่บยั่บ.ผมคงตายตรงนี้-ที่นี่แน่ๆ ถูกหั่นเละ.แต่เสียงปืนเป็นสิบๆกระบอกดังก้องทางช่องด้านหลัง,ระยะเผาขนแบบนี้.มนุษย์ปีกล้มลงสุมกันเป็น
กอง.
    และแล้ว,ก้าวขึ้นมา กูราคนแรกที่ได้ขึ้นเหยียบด้านบนของศิลานามยุทธลา;ทั้งก่อนและหลังประวัติศาสตร์.มือกำดาบ,ที่หลังสะพายปืน,ไม่ใช่มาแบบเชลย.คือ กอร์ หมีมนุษย์,ร้องก้องด้วยความแค้นหรือความมันก็ไม่รู้เขา.ตามติดๆคือ เหล่านักฆ่าแห่งนครคอร์และโคธ.หิวกระหายตัวสั่นมาทีเดียว หิวเลือด!
    นักรบยากามาเฝ้ารับพวกเราอยู่เต็มห้อง.ห้องปล่องทางลับนี้,ห้องข้างๆและตามทางเดินก็ยุ่บยั่บไปด้วยนักรบยากา.พวกเราหลังชนกัน.รักษาทางขึ้นไว้เหนียวแน่น,นักรบกูราวิ่งขึ้นมาสบทบเป็นฝูง,พวกเราค่อยๆขยายพื้นที่กว้างออกไป.ในห้องค่อนข้างเล็กนั้น,เสียงการต่อสู้หูแทบดับ.สยดสยองนัก.เสียงดาบประทะดาบ,เสียงร้องตะโกน,เสียงฉับที่เกิดเมื่อคมดาบแยกเนื้อผ่ากระดูก.
    เราสามารถยึดห้องนั้นได้,เฝ้าป้องกันประตูห้อง.รอคนข้างล่างขึ้นมา.และเราค่อยๆเพิ่มพื้นที่ เราบุกก้าวเข้าไปตามทางเดินและห้องข้างเคียง,การสู้รบดุเดือดผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง.เราชิงพื้นที่,ได้เป็นวงล้อใหญ่. มีห้องที่มีปล่องลงไปข้างล่างเป็นดุมกลาง,นักรบยากาที่ยิงธนูกระหน่ำลงไปจากด้านนอก.ต้องถอยเข้ามาสู้ด้วยดาบ.ตอนนี้นักรบกูราที่ผมนำมาที่ยังเหลือรอดจากหนึ่งพัน.ขึ้นมาข้างบนได้หมด.ผมส่งแท๊บลงไปบอกให้โคธสุทยกกำลังข้ามสะพานมาได้.
    ผมเชื่อว่าบัดนี้ยากาต้องถอยจากข้างนอกเข้ามาป้องกันในอาคารเกือบหมด.จุดอ่อนสุดๆ อยู่ตรงนี้,ศัตรูยึดไว้ได้แล้วด้วย วิ่งอยู่ข้างล่าง แว่บเดียวมาโผล่ข้างบน..จำนวนมนุษย์ปีกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.จุกทางเดิน.ทุกด้านมีแต่ตัวดำๆ.ผมเล่าแล้วว่า ความกล้าของยากาถึงไม่เท่ากูรา แต่เมื่อศัตรูบุกเข้ามาได้ถึงที่มั่นสุดท้าย.เผ่าพันธุ์ไหนๆก็ต้องสู้,และปีศาจมีปีกพวกนี้ไม่อ่อนแอเลย.
         การต่อสู้เข้าสู้สภาพ "ยันกัน"อีกครั้ง,เรารุกต่อไม่ได้ไม่ว่าด้านไหน,พวกเขาก็ดันเรากลับไม่ได้.ตามทางเดินและห้องที่เรารุกผ่านไป เกลื่อนด้วยศพ ทั้งศพขนดกและเนื้อเกลี้ยงแต่ดำสนิท, กระสุนดินปืนของเราหมดเกลี้ยง,และเมื่อมาสู้กันใต้เพดานของคูหา ยากาก็ใช้ธนูไม่ถนัด.ประชิดตัวแบบนั้น มัวไปน้าวสายเล็งธนู.โดนฟันก่อน.. มันเป็นการต่อสู้มือต่อมือ.ดาบต่อดาบ.ที่ตายก็ตายไป,พวกที่เหลือก้าวข้ามศพเข้าไปประทะกัน.
    และแล้ว,เมื่อดูเหมือนว่า เลือดและเนื้อจะทนความเหนีื่อยล้าไปไม่ได้ต่อไป.สายตาและความว่องไวหลบหลีกป้องปัดเชื่องช้าลงๆ,มีเสียงตะโกนก้องคูหาหลังคาโค้ง,ขึ้นมาตามปล่องลับ,นักรบกูรา-ใ,หลั่งไหลขึ้นมายุ่บยั่บเข้าแทนที่พวกเรา—นักรบของโคธสุท.แปดพัน ใหม่สดจากไร่!เดือดดาลรำคาญแสนที่ต้องหมอบหลบลูกธนูที่คูผักมาตั้งแต่มืด.น้ำลายฟูมปากเหมือนหมาบ้า,โคธสุทชรา.บึ้งตึงเครียดเคร่งเหมือนเดิม,ก้าวมาหาผม,บ่นเสียงผีพึมพำทำนองว่า ยังไม่ได้ฆ่าใครซักคน..ผมถามหาแท๊บ,โคธสุทบอกว่าแท๊บโดนธนูที่ขา เมื่อวิ่งข้ามสะพานมากับกษัตริย์.อย่างที่ผมคาดไว้,กูราส่วนนี้ข้ามสะพานมาได้แทบไม่ถูกยิง,เพราะยากาบนหน้าผาด้านนอก ต้องกลับมาป้องกันจุดที่สำคัญกว่า..จุดตายตัดสินแพ้ชนะ.ปล่องทางขึ้น!
    บัดนี้ศีกโชกเลือดและบ้าคลั่งที่สุดที่ผมเคยเห็นก็บังเกิด.เมื่อกูราใหม่สดขึ้นมาเพิ่มจำนวน.ยากาซึ่งเหน็ดเหนื่อยก็ต้องยอมถอย.การสู้รบแผ่กระจายกว้างออกไป,เหล่ารองหัวหน้าก็เรียกรวมพลไม่ได้.ทั้งสองฝ่ายแยกคู่กัน,กูราแยกเป็นกลุ่มเล็ก,ควงดาบไปตามทางเดินคดเคี้ยว,เข้าในห้องโถง,ห้องนอน,ห้องครัว,ห้องน้ำ ในราชวังของแจสมีนา.เสียงวิ่งสับสน,เสียงตะโกนก้อง,และเสียงเหล็กกระทบเหล็กดังสนั่นหวั่นไหว.
    เสียงปืนก้องนานๆครั้ง,เสียงวี๊ดของธนูก็แทบไม่มี.มันเป็นการต่อสู้มือต่อมือ,ดาบต่อดาบระยะประชิดจากความแค้น.ใต้เพดาน,ในอาคาร.ยากาไม่มีที่กว้างพอจะกางปีกบินขึ้นเพื่อจะโฉบลงมาฟัน.พวกเขาจำเป็นต้องยืนสู้บนพื้นประทะศัตรูดั้งเดิมอย่างเสมอกัน,ยามไปประจัญกันบนเฉลียงหรือลานโล่ง,สวนหย่อมบนหลังคา,พวกเราถึงจะเสียหายมาก.เพราะออกไปที่ฟ้าเปิด,มนุษย์ปีกสามารถใช้ยุทธวิธีเดิม.
    แต่กูราพยายามเลี่ยงพื้นที่แบบนี้.และตัวต่อตัวใต้หลังคา.กูราไม่มีวันแพ้. โอ,พวกเขาตายเป็นหลายสิบ.แต่ใต้คมดาบของพวกเขา,ยากาตายเป็นร้อย. หลายพันหลายหมื่นปี ยากาสร้างหนี้ไว้แล้วก็บินหนีมาอยู่บนยอดหินวิมาน.บัดนี้เจ้าหนี้ตามมาทวงคืนถึงที่,ย่องเงียบมา,ไม่นัดล่วงหน้า;เพราะนัดแล้วเข้าถึงตัวยากแถมบินหนีได้อีก. ไม่ยอมรับชำระด้วยสิ่งอื่น,เป็นเงิน,ทอง,ทรัพสินใด,ไม่รับทั้งนั้น.รับอย่างเดียว ต้องเป็นเลือด.ดาบไม่มีตา ;กูราฆ่าทั้งหญิงทั้งชายยากา.ได้รู้ซึ้งว่าหญิงร่างงามแต่ตัวดำใจดำ,พวกนี้โหดขนาดไหนผมสงสารไม่ลง.
    ผมออกตามหาอัลตา.
    เราพบทาสหญิงมากมาย.หลายๆพัน.งงงันอกสั่นเมื่อเห็นการรบ.ตัวลีบซุกด้วยความหวาดกลัว.จนลืมนึกไปว่า การรบที่ระเบิดขึ้นได้ถึงบนยอดยุทธลา.นี้ อาจหมายถึงอะไร ศัตรูที่หาญกล้ามาสับยากาถึงบนนี้ อาจไม่มาร้าย?.อย่างไรก็ดี,ผมเห็นทาสสาวกูราหลายคนร้องไห้ลั่น..ด้วยความดีใจ.วิ่งเข้ายกแขนโอบกอดคอที่ล่ำเหมือนคอวัวควาย,ของนักรบขนดก,ถือดาบเปื้อนเลือด,หอบหายใจ.หน้าถมึงทึงเหี้ยมโหด.ที่พรวดพราดเข้ามา,เพราะเธอจำได้ว่า..นี่คือ-พี่..ผัวหรือพ่อของตนซึ่งไม่เคยฝันเคยหวังว่าจะได้พบกันอีก..บุกลงมา(ใช้คำว่าขึ้นมา ดีกว่า)รับตัวถึงนรกบนยอดเขา. จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองยิ้มครั้งสุดท้ายเมื่อไร,คงนานแสน.ได้เห็นความสุขและเสียงหัวเราะ ท่ามกลางคมดาบและความเจ็บปวด,ผมอดยิ้มไม่ได้ด้วยความปิติ,มีเพียงทาสสาวผิวสีเหลืองและสีแดง หมอบตัวสั่นงันงกอยู่ที่พื้น.หวาดกลัวนักรบหน้าเหมือนลิงต้วใหญ่ราวยักษ์.พอๆกับเจ้านายที่มีปีก.
    ฟันบ้าง,ถากบ้าง,เคาะบ้าง ถึบบ้าง.หลบคมดาบบ้าง.ฟันตอบบ้าง,ผมแหวกหาทางไปตามกลุ่มที่รบกัน.ผมมุ่งไปคูหาที่ขังทาสที่ได้เลือกเป็นสาวพรหมจารีแห่งพระจันทร์.ไปยังไงทางไหนผมก็ไม่รู้,ที่สุดก็ต้องก้มลงจับบ่าสาวกูรานางหนึ่งที่ห่อตัวอยู่บนพื้น.หลบไม่ให้โดนลูกหลงจากดาบที่ฟาดเควี้ยวคว้าวไปมาเหนือหัว.ผมตะโกนใส่หูถามทาง.หล่อนเข้าใจ.ชี้มือไปทางหนึ่ง,ตะโกนตอบบอกทางยาวยืด.เสียงสู้รบตรงนั้นมันกลบไม่ได้ยิน.ผมต้องอุ้มหล่อนไว้มือหนึ่งอีกมือก็ถากถางไปทางที่หล่อนชี้.จนพ้นกลุ่มพวกนักรบที่กำลังเข่นฆ่า.ถึงวางหล่อนลง.หล่อนวิ่งนำหน้าไป,ร้องให้ผมวิ่งตาม,,หล่อนพาไปตามทางเดินเส้นเดิม.พาขึ้นบันไดเวียน,ข้ามสวนหย่อมบนหลังคายาวยืด,ที่มียากา และกูราเข่นฆ่ากัน.และมาหยุดที่ลานโล่ง.ตำแหน่งนี้อยู่สูงสุดในนครยักกา กลางลาน,มีอาคารรูปโดมใหญ่..โดมแห่งจันทรา-ที่มองเห็นตระหง่านจากทุกมุมเมือง มองจากข้างล่างก็เด่นสง่า..หล่อนชี้ไปที่ประตูหนึ่งในหลายๆประตู,ประตูบานนี้ใส่กุญแจ.ผมฟันสองสามทีก็ขาด,เปิดประตูและโดดหลบ,ดาบที่อาจสวนออกมา.แต่ไม่มี.ในห้องกว้างนั้นเอง,เมื่อสายตาผมชินกับความมืดสลัว.,ผมเห็นผิวขาวผ่องของหญิงสาวราวร้อยนาง,เบียดเป็นกลุ่มด้วยความหวาดกลัว อยู่ที่ผนังด้านหลัง.สาวบริสุทธิ์ร้อยห้าสิบนางแห่งจันทรา อยู่ที่นี่เอง,และเมื่อผมร้องเรียกชื่ออัลตา.ก็ได้ยินเสียงร้องตอบ "เอสู! โอ เอสู!" ร่างบอบบางขาวผ่องวิ่งจากกลุ่มเข้ามา,แขนนุ่มนิ่มโอบรอบคอผม.ระดมจูบลงที่ผิวกระด้างหยาบสีน้ำตาลของผม,วินาทีหนึ่งผมยอมพักการส่ายตามองคมดาบที่อาจลอยเข้ามาจากทุกด้าน. รัดร่างเต่งตึงของอัลตาแน่น,อกอัดอก,บดจูบตอบรับที่ริมปากสีชมพูสั่นระริก,จูบจากหัวใจที่ท่วมล้นด้วยความห่วงหา,กระหาย.และโล่งใจ.แล้วก็ต้องรีบปลดแขนอัลตา ดันหล่อนไปข้างหลัง หันกลับดาบนำหน้า..เราชนะมาได้เกือบสุดทาง แต่ความตายมันรออยู่ได้แม้ในตอนจบ,,เสียงรบโกลาหลจากนอกห้องเรียกผมให้ออกไป.ยากาหยิบมือหนึ่ง ถอยหนีกูราสักห้าร้อยออกมาจากประตูห้องข้างๆ.หรือจะเป็นเหล่าผู้คุ้มกันสาวบริสุทธิ์แห่งจันทรา-นักรบฝีมือดีร้อยห้าสิบนาย.จากร้อยห้าสิบเหลือไม่ถึงสิบ,จะเป็นเหล่าใดพวกไหนไม่สำคัญแล้ว.เจอปลายดาบห้าร้อยเล่ม พวกเขาถอยกรูดและบินหนีไป ผู้ไล่ตามโห่ร้องรับชัยชนะ.พวกกูรากวาดล้างมาได้ถึงนี่;จุดสูงสุดของยักกาไม่มีที่ให้ไปต่อ.
    และแล้วเบื้องหน้าผม ผมได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยัน.และมองเห็นร่างงามสูงโปร่งของแจสมีนา.ราชินีแห่งยากา.
    “กลับมาจนได้สินะ.มือเหล็ก?” น้ำเสียงหล่อนเหมือนน้ำผึ้งผสมยาพิษ, “แกกลับมา.พร้อมกับเหล่าผู้ฆ่า.เพื่อมาจบร้ชสมัยครองโลกของเทพเจ้าหรือ?ยังไม่ชนะหรอก ไอ้โง่"
    ผมไม่พูด,วิ่งเข้าใส่อย่างเดียว,ควีนอยู่ตรงหน้าผม,หมากตัวสำคัญที่สุดในกระดาน-ต้องทำลายทันที,,แต่ก่อนที่ดาบของผมจะหวดถึงคอเธอ.แจสมีนาโผนบินขึ้น,เสียงหัวเราะสนั่นเหมือนบ้า
    “ไอ้โง่!" แจสมีนากรีดก้อง "แกจะไม่มีวันชนะ! ข้าไม่ได้บอกไว้หรือว่า ข้ายอมแหลกลาญไปในซากนครของข้า?ไอ้หมา,ตอนนี้แกเหมือนคนตายไปแล้ว"
    หันตัวกลับกลางอากาศ หล่อนบินตรงไปที่โดม,ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ,เหล่ายากาที่เหลืออยู่น้อยนิด เหมือนรู้ว่าแจสมีนาจะไปทำอะไร.ต่างส่งเสียงห้ามด้วยความกลัว.แต่แจสมีนาไม่ฟังเสียง,หล่อนลงไปเหยียบบนหลังคาโค้งเรียบลื่นของโดม,กวักปีกประคองตัว.หันมายกกำปั้นให้ผมเหมือนเยาะเย้ย,และแล้ว,หล่อนจับส่วนหนึ่งของหลังคา คงจะเป็นกลอนหรือมือจับ,สองขายันหลังคา.ดึงสุดแรง.
    หลังคาโดมตรงนั้นหลุดผลั้วะเปิดขึ้นกระแทกแจสมีนา กระเด็นขึ้นไปในอากาศ.นาทีต่อมา.มีร่างพิกลหมึมาโผล่ขึ้นจากช่องเปิด,ยามสิ่งนี้สัมผัสกับขอบช่องเปิด,มีเสียงสนั่นเหมือนฟ้าผ่า.อาคารโดมทั้งหลังแยกออกเป็นพันๆชิ้น.เศษวัสดุกระจายเกลื่อนฝุ่นคลุ้ง.และสิ่งมหึมาก็โงนเงนออกมาจากม่านฝุ่นและเศษหิน,ออกมาสู่ที่แจ้ง,ผู้ที่มองอยู่แหกปากร้องเป็นเสียงเดียวกัน.
    ร่างที่ออกมาจากโดมใหญ่กว่าช้าง.ส่วนรวมก็เหมือนๆทากเพียงใหญ่กว่าทากบ้านเราสักแสนเท่า,รอบกายมีแขนขา?หนวดเนื้อ(แบบหนวดปลาหมึก)?สายระยางค์?หาคำเรียกยาก .ยืดออกมายุ่บยั่บ.และระหว่างสายพวกนี้ ประกายไฟสีฟ้าพุ่งไปมาหากันเสียงแครกคราก,ยามมันยกยืดหนวดเนื้อไปแตะครบวงจรเมื่อไร,แม้แต่หินแกร่ง.ก็แตกออกได้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย.โอ ตัวพันธุ์นี้ มันมีประจุไฟฟ้าสถิตย์เป็นแสนๆล้านๆโวลต์อยู่ในเนื้อในหนัง,สิ่งนี้ไม่มีสมอง,ตาก็ดูุเหมือนไม่มีด้วย.มันเป็นพลังล้างผลาญทำลายพื้นฐาน,ชั้นต่ำ.ต่ำพอๆกับพลังทำลายที่เรียกว่า”ความตาย”.เราจะไปขอร้อง,อ้อนวอน,บังคับให้หยุดไม่ได้.เพราะ"ความตาย"(และไอ้ตัวนี้)ไม่มีสมอง.ได้แต่ทำลาย,ได้แต่พราก,
    ถูกแล้วครับ.มันได้แต่ทำลาย.ออกมาก็เลื้อยไปไม่มีแผนไม่มีทิศ.แต่ยามที่มันกวาดตัวไปทางใด.แม้แต่กำแพงหินหนาก็ยุบลงแหลกป่น.ผมเห็นหินใหญ่เท่าบ้านซึ่งอยู่พ้นระยะดูดของไฟฟ้าคงรูปได้ทั้งที่ฐานล่างป่นละเอียด.หล่นกลิ้งลงทับมัน.แต่ไม่เห็นมันเป็นอะไร.ผู้คนเผ่นหนีกระจาย.
    “กลับไปลงปล่องเร็ว,ทุกคนที่ไปได้" ผมตะโกน "พาผู้หญิงไป—เอาผู้หญิงออกไปก่อน" ตัวผมเองเข้าไปอุ้มเหล่าสาวพรหมจารีแห่งจันทรา มาส่งให้นักรบที่ใกล้ตัวที่สุด.เขารับพวกหล่อนวิ่งไป.หอคอยปราสาท.เวียงวังกำลังถล่มลงเสียงสนั่น.รอบๆกายผม
    “หาผ้าหรืออะไรก็ได้มาต่อๆกัน” ผมร้องสั่ง "ให้พวกผู้หญิงขี่คอพารูดลงไปข้างล่าง.โอยตายหอง,เร็ว ตัวบรรลัยนี่มันทำลายได้ทั้งเมือง.”
    “ข้าเห็นบันไดเชือกกองเบ้อเริ่มตรงโน้น" นักรบคนหนึ่งตะโกนตอบ "ยาวพอจะลงไปถึงริมน้ำ..แต่--”
    “งั้นก็ผูกปลายแล้วพาผู้หญิงลงไป" ผมกรีดร้อง.“ไปเสี่ยงกับน้ำดีกว่า" “เฮ้ย! กอร์ รับอัลตาไป"
    ผมโยนอัลตาไปเข้าวงแขนหมีมนุษย์ตัวเปื้อนเลือด,ตัวเองวิ่งเข้าหา ภูเขาแห่งการล้างผลาญที่กำลังถล่มเมืองยักกา,    ในความวุ่นวายขนาดมหาหนักนี้.มันฉุกละหุกจนผมจำได้แค่สับสน.จำบ้านเมืองที่ถล่มลงรอบๆ,เสียงกรีดร้องของ
มนุษย์.และเครื่องจักรแห่งการล้างผลาญโงนเงนฟาดกายไปมา,ผงาดเหนือทุกสิ่ง,ประกายกระแสไฟฟ้า แปลบปลาบท่วมตัวตน.ผ่านไปทางไหนแค่แตะเบาๆ,ทางนั้นเป็นผุยผง.
    ยากา,กูรา,และเชลยสาว.ต้องสิ้นชีวิตลงในเมืองที่ทลาย.ไม่มีใครบอกได้,ที่ลงผ่านปล่องไปได้ก็เป็นร้อยพัน.แต่แล้วปล่องก็ถล่มฝังร่างพวกที่เหลือติดอยู่.นักรบกูราทำการรบอีกแบบอย่างกล้าหาญ.รวดเร็วบ้าคลั่ง.ผูกปลายบันไดเชือกไหมโยนลงไปตามหินยุทธลา.บ้างก็ไปถึงหลังคาเมืองอักกา,บ้างข้ามแม่น้ำ.ทางบันไดเชือกที่หามาได้เป็นร้อยนี้ นักรบกูราให้เชลยสาวขี่คอปีนแผลวๆลงไป พวกนี้ไม่ได้หน้าเหมือนลิงเท่านั้น ปีนป่ายได้ไวกว่าลิงอีก.ทั้งหญิงกูรา.หญิงผิวแดงและเหลือง ไม่เลือกสีผิว.
    เมื่อเห็นกอร์พาอัลตาไต่ลงไปสิ้นห่วงแล้ว.ผมหันกลับวิ่งเข้าหาสิ่งทมึนนั้น.ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอะไรได้,จะไปสู้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีชีวิตได้อย่างไร?ประสาทสมองหัวใจมันจะมีหรือ?แต่ผมก็ยังวิ่งเข้าไป,ฝ่าก้อนหินที่แตกลงมาเป็นฝน.และแล้วผมก็ยืนประจัญหน้ามัน.ตัวมหาสยอง. ผมก้มคว้าก้อนหินใหญ่ทดลองโยนใส่,มันหยุดส่ายตัวแบบไร้จุดหมายทันที.หันมาทางผม.ถึงจะไม่มีตาไม่มีหู.แต่มันคงมีประสาทสัมผัสทางผิวหรอก.เพราะมันคลานเข้ามาหาผมทันที.ฝุ่นและเศษหินกระจายว่อนเหมือนช้างฝูงใหญ่วิ่งตะลุยผ่านธารน้ำ.
    ผมวิ่งล่อมันจากกลุ่มนักรบที่กำลังพาเชลยไต่ลงไป.ล่อให้มันตามไปตามริมผาหินยุทธลา.แล้วก็ไปจนมุมอยู่ที่หอรบริมสุดตรงยุทธลาหักมุม.หน้าหลังซ้ายขวา,ไม่มีทางไปต่อ,มีแต่ด้านล่างดิ่งเก้าสิบองศา ลงไปหาสายน้ำห้าร้อยฟุตข้างล่าง.เมื่อผมหันกลับอย่างสิ้นหวัง,มันยืดตัวขึ้น,ที่กลางตัวเหมือนทากยักษ์ผมเห็นวงดำกว้างสักเท่าฝ่ามือผม.วงนี้มีการเต้นตุบๆ ผมเดาว่าอาจเป็นใจกลางของเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามีชีวิตนี้.ผมโจนเข้าใส่,ปักดาบลงไปที่ตรงนั้นจนมิดด้าม.
    เข้าถึงหรือไม่,ปักดาบสำเร็จหรือไม่.ผมไม่รู้ เพราะแค่กระโดดเข้าไปผมคงเข้าในวงจรไฟฟ้า.โลกของผมระเบิดด้วยเสียงสนั่นและแสงแทบตาบอด.เขาว่าคนยามจะตายจะมองเห็นแปลกๆ.ผมเห็น แท๊บ,กอร์,โคทสุธและเพื่อนกูรา เห็นศาสตราจารย์  ฮิลเดอร์แบรน มนุษย์โลกไม่กี่คนที่ฉลาดหลักแหลมสุดๆ แต่ไม่รังเกียจความเป็นคนเถื่อนของผม.ให้ความเป็นเพื่อนรัก.และท้ายสุด เห็นหน้าอัลตา.และไม่เห็นอะไรอีกเลย.
                       ------------------------------------------------







    เขาเล่าให้ผมฟังในภายหลังว่า; เมื่อดาบผมฝังเข้าไปในเนื้ออสุรกายไฟฟ้า,ประกายไฟจ้าสีฟ้า พุ่งขึ้นล้อมตัวเราทั้งคู่.มีเสียงระเบิดสนั่น,ดังเหมือนฟ้าผ่า,แรงระเบิดฉีกร่างสัตว์นั้นเป็นหลายท่อน,และส่งร่างผมกับชิ้นส่วนมัน,ปลิวออกมาจากหน้าผา,หล่นลงมาห้าร้อยฟุต ลงแม่น้ำคูเมืองข้างล่าง.
    แท๊บนั่นเองที่ช่วยชีวิตผมไว้จากการจมน้ำตาย.ถึงขาตัวเองจะโดนลูกธนูทะลุ.อยูในสภาพพิการ.ก็โดดลงไปดำควานและควาน..จนลากร่างไร้สติของผมขึ้นจากน้ำ.
    ท่านอาจจะแย้งว่า,เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะร่วงลงมาห้าร้อยฟุตแล้วไม่ตาย.ผมตอบได้แต่ว่า.ผมนี่แหละ.ลงมาห้าร้อยฟุตสู่น้ำลึกแล้วไม่ตาย.แต่ยังไม่แน่ว่าจะมีคนอื่นทำได้อีกหรือไม่.
    ผมไม่ได้สติไปนาน.ได้สติแล้วแต่ตกอยู่ในความหลับๆตื่นๆพูดไม่รู้เรื่องอีกนานกว่า.และนานกว่าอีกครั้ง.คือระยะเวลาที่ผมนอนเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวไม่ได้ทั้งตัว.แต่ในที่สุดประสาทและกล้ามเนื้อที่ถูกฃ๊อตด้วยไฟฟ้าของผมก็ค่อยๆคืนสภาพเดิม.
    ผมฟี้นสติกลับเป็นคนเดิมพอมีพลังลุกเหินเดินได้.ก็พบตัวเองอยู่บนเตียงในเมืองโคธ.จำถึงการยกทัพกลับไกลแสนผ่านป่าทึบและทุ่งราบจากนครยักกาที่เหลือแต่ซากไม่ได้เลย. จากจำนวนนักรบเก้าพันคนที่ยกไปแย็ค .ได้กลับมาห้าพัน.แต่ละคนบาดแผลเต็มตัว,เปื้อนเลือด,แต่เปี่ยมชัยชนะ.เราปลดปล่อยหญิงที่ถูกยากาจับเป็นทาส และพากลับมากับกองทัพ ได้ห้าหมื่นคน.พวกที่ไม่ใช่ทั้งชาวนครคอร์และโคธ พวกเราคุ้มกันไปส่งถึงเมืองโดยปลอดภัย..สิ่งที่ไม่เคยทำเคยเกิดมาก่อนบนอัลมูริก.หญิงตัวเล็กผิวสีเหลือง,แดงซึ่งยากาจับมาจากวงคาดอีกด้าน.ได้รับอิสระสมบรูณ์ จะเลือกไปอยู่ที่โคธหรือคอร์ก็ได้.
    ตัวผมเล่า?ผมมีอัลตา—และอัลตามีผม, เสน่ห์ของหล่อน.เจิดจ้ามัดใจผมไว้ได้สิ้น.ครั้งแรกที่ลืมตาเห็นแต่สติยังไม่คืน.พูดยังไม่ได้.ผมเห็นภาพเลือนลาง.ลอยล่องให้การพยาบาลอยู่เหนือกายบนเตียงที่เมืองโคธ,มัวจางเหมือนภาพฝัน.และก็ค่อยๆกระจ่างขึ้น ก่อรูปเป็นเทพธิดาแห่งความงามและความปรานี.ผุดผ่องอ่อนช้อยงามแสน.แต่หน้าคุ้นๆ.ความรักของเราจะต้องคงอยู่ตลอดไป,เพราะมันถูกจับมัดรวมกันแล้วยัดเข้าเตาหลอม-หลอมด้วยไฟร้อนแสนร้อนอันมีนามว่า "ความทุกข์ทรมานสาหัส.ความห่วงหาอาวรณ์สุดแสน”.พลิกไปมาบางคราวก็พรมด้วยเลือดที่เราหลั่งให้กัน.เพิ่มความแข็ง แสนนานไม่ยอมคีบออก.จนลุกโชนเปล่งสีขาว.และแกร่งแสนแกร่ง.
    บัดนี้.ครั้งแรก,มีสันติระหว่างคอร์และโคธ,ทั้งสองเมืองทำการสาบานมิตรภาพชั่วกาล;สิ้นสงคราม,บนฟ้าไม่มียากา อมตะเทพที่แสนโหดร้ายและทำลายไม่ได้ วอดวายไปแล้ว.ที่เหลือจะต้องต่อสู้ก็เพียงสัตว์ร้ายหรือตัวประหลาดที่มีมากมายบนอัลมูริกแห่งนี้. และสองเรา—ผม เอสู เคอร์น ;เพศชาย ที่กำเนิด; โลก .และอัลตาลูกสาวแสนงามเปี่ยมเสน่ห์ของอัลมูริก.ผู้ที่มีสัญชาติญาณเมตตากรุณาของหญิงชาวโลก—เราทั้งคู่หวังจะปลูกฝังอารยธรรมที่เลือกว่าดีๆจากโลกมนุษย์ไว้บนนี้บ้าง.ก่อนที่เราจะสิ้นชีวิตและกลายเป็นฝุ่นเป็นดินของดวงดาวที่รับโอบอุ้มผม.อัลมูริก

                                                              จบ
   

   
   

.